<h2>Adrian Cheng ซีอีโอ New World Development ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ ร่วมมือกับ Prenetics Group บริษัทพัฒนาอุปกรณ์ทดสอบและวินิจฉัยทางพันธุกรรม เพื่อต่อยอดโอกาสที่ไม่เพียงแต่สร้างผลกำไร แต่ยังสร้างมูลค่าให้กับสังคมอีกด้วย</h2>
<figure><img class="wp-image-51505" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-6148577cbe4c1ce5eec9f040-Danny-Yeung-and-Adrian-Cheng-1960x0.jpgfitscale.jpg" alt="Adrian Cheng " width="720" height="471" /><figcaption> Danny Yeung (ซ้าย) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Prenetics และ Adrian Cheng (ขวา) ซีอีโอ New World Development</figcaption></figure>

เมื่อเดือนที่แล้ว อาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของ <a style="color: #008000;" href="https://www.nwd.com.hk">Cheng</a> ได้ร่วมมือกับ Prenetics เปิดตัว Circle HealthPod เครื่องตรวจโควิด-19 ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถตรวจเชื้อที่บ้านได้ภายใน 20 นาที 

โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะจัดจำหน่ายผ่านเครือข่ายธุรกิจของ Cheng ซึ่งครอบคลุมทั้งธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และภาคส่วนอื่นๆ 

ในอนาคต Prenetics เผยว่า อุปกรณ์ชิ้นนี้จะสามารถตรวจหาไข้หวัดใหญ่และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้เช่นกัน 

ไม่เพียงเท่านี้ การทำงานร่วมกันของ Cheng และ Prenetics ได้ก้าวหน้าไปไกลยิ่งขึ้น เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาได้เปิดเผยแผนการที่จะนำบริษัทอายุ 7 ปีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยวิธีการ SPAC 

ด้วยการนำ Artisan Acquisition Corp. ซึ่งเป็นบริษัทเช็คเปล่าของ Cheng ควบรวมกิจการกับ Prenetics ในข้อตกลงที่จะทำให้บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพมีมูลค่าอยู่ที่ราว 1.25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 หรือไตรมาสแรกของปี 2022 

“Prenetics เป็นบริษัทที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์” Cheng กล่าวกับ Forbes เนื่องจากมีประวัติการทำงานที่ดี มีทีมบริหารที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ และยังมีวิสัยทัศน์ในการพยายามจัดหาบริการสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพื่อยกระดับสวัสดิภาพทางสังคม

<figure><img class="wp-image-51506" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-61486bbdf2ed3d426655ed22-A-lab-technician-processes-RT-PCR-Covid-19-tests-at-Prenetics-laboratory-in-Hong-1960x0.jpgfitscale.jpg" alt="Adrian Cheng " width="720" height="480" /><figcaption> นักปฏิบัติการทางการแพทย์ดำเนินการทดสอบชุดตรวจโควิด RT-PCR ที่ห้องปฏิบัติการของ Prenetics ในฮ่องกง (ภาพ: Roy Liu/Bloomberg)</figcaption></figure>

Prenetics ซึ่งมีฐานอยู่ในฮ่องกง ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 ในฐานะบริษัททดสอบจีโนม และต่อมาได้มุ่งเน้นไปที่การผลิตอุปกรณ์ทดสอบโควิด-19 กล่าวว่า ได้ทำการทดสอบโควิด-19 ให้กับลูกค้าไปแล้วมากกว่า 5 ล้านครั้ง อาทิเช่น รัฐบาลท้องถิ่น สนามบิน London Heathrow และ Virgin Atlantic เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อตรวจเชื้อในหมู่นักฟุตบอลและเจ้าหน้าที่ประมาณ 3,000 คนในพรีเมียร์ลีกอังกฤษเช่นกัน 

ทั้งนี้ การควบรวมกิจการกับ Artisan คาดว่าจะทำให้ Prenetics สามารถระดมทุนสูงถึง 459 ล้านเหรียญ เพื่อใช้เป็นทุนสำหรับการซื้อกิจการ การวิจัยและพัฒนา การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการขยายพื้นที่เชิงกลยุทธ์

“เรากำลังมองหาโอกาสทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกาที่เราเห็นโอกาสมากมาย” Danny Yeung ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Prenetics กล่าว “การขยายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหราชอาณาจักร และยุโรปก็เป็นจุดสนใจสำหรับเราเช่นกัน”

Prenetics คาดการณ์ว่ารายรับจะเพิ่มขึ้นเป็น 205 ล้านเหรียญในปี 2021 หรือราวร้อยละ 215 จากปีก่อน แม้ว่าผลขาดทุนสุทธิจะเพิ่มขึ้นเป็น 41 ล้านเหรียญจาก 2 ล้านเหรียญก็ตาม 

ปัจจุบัน บริษัทได้รับการผู้สนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ อาทิเช่น Alibaba Group, Prudential, Gobi Partners, Apis Partners และ Beyond Ventures เป็นต้น

“ธุรกิจเฮลท์แคร์มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว” Cheng ผู้ซึ่งได้เพิ่มพอร์ตธุรกิจใหม่ให้กับ New World กล่าว โดยอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ทั่วโลกคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 4 ในปี 2020-2024 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.8 ระหว่างปี 2015-2019 ตามแนวโน้มของ Deloitte

นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี Cheng ได้เข้าซื้อหุ้นใน EC Healthcare ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางการแพทย์นอกสถานพยาบาลพยาบาลในฮ่องกง ซึ่งต่อมาได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Prenetics เพื่อเป็นตลาดเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์บางรายการใน Greater Bay Area

“ผมต้องการทำหน้าที่เป็นผู้ประสานประโยชน์จากการทำงานร่วมกันระหว่าง Prenetics และบริษัทอื่นๆ เพื่อก่อให้เกิดโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” Cheng กล่าว

แปลและเรียบเรียงจากบทความ As Indian Companies Seek To Hire More Women, E-Scooter Maker Ola Electric Puts Them In Driver’s Seat โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/ola-electric-ผู้ผลิตสกู๊ตเตอร์ไฟฟ.html">Ola Electric ผู้ผลิตสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า จัดจ้างเฉพาะพนักงานหญิงหมื่นตำแหน่งประจำโรงงาน</a>

Adrian Cheng ร่วมมือกับ Prenetics บริษัทตรวจโควิด เพื่อการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่มากขึ้น

<h2>Adrian Cheng นำ C Ventures เข้าลงทุนมูลค่า 8 หลักใน Casetify แบรนด์อุปกรณ์เทคโนโลยีจากฮ่องกง ในรอบการระดมทุนภายนอกครั้งแรกของบริษัทนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2011</h2>
<figure><img class="wp-image-47629" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-60dc46b7b8197436b7383c3e-960x0.jpgfitscale.jpg" alt="Adrian Cheng" width="720" height="480" /><figcaption> Wesley Ng (ซ้าย) ซีอีโอ Casetify และ Adrian Cheng (ขวา) ผู้ก่อตั้ง C Ventures และซีอีโอ New World Development</figcaption></figure>

Cheng กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันพุธว่า “วิสัยทัศน์ของ <a style="color: #993300;" href="https://www.forbes.com/sites/zinnialee/2021/06/30/hong-kongs-adrian-cheng-targets-millennials-by-investing-in-tech-accessories-brand-casetify/?sh=a2658a74a986">Casetify</a> สอดคล้องกับ <a style="color: #993300;" href="https://www.forbes.com/sites/zinnialee/2021/06/30/hong-kongs-adrian-cheng-targets-millennials-by-investing-in-tech-accessories-brand-casetify/?sh=a2658a74a986">C Ventures</a> ที่ต้องการสร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มมิลเลนเนียลและเจน Z” พร้อมเสริมว่า “เราตั้งตารอที่จะช่วยพวกเขาขยายความสำเร็จนั้นให้ไกลออกไปผ่านเครือข่ายทั่วโลกที่ทรงพลังของเรา”

ปัจจุบัน Cheng ดำรงตำแหน่งซีอีโอ <a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/sites/zinnialee/2021/06/30/hong-kongs-adrian-cheng-targets-millennials-by-investing-in-tech-accessories-brand-casetify/?sh=a2658a74a986">New World Development</a> ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง และมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.32 หมื่นล้านเหรียญ โดยบริษัทแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 โดย <a href="https://www.forbes.com/profile/cheng-yu-tung/?sh=363c063d6220">Cheng Yu-tung</a> ปู่ของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว 

ในฐานะผู้สืบทอดกลุ่มบริษัทอายุ 50 ปี Cheng มีเป้าหมายที่จะให้ความสำคัญกับศิลปะและวัฒนธรรมที่สามารถดึงดูดใจคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี

“การลงทุนโดย C Ventures ครั้งนี้ เป็นการลงทุนที่น่าตื่นเต้นสำหรับเรา เพราะความมุ่งมั่นของ Adrian ในด้านความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ และวัฒนธรรม สอดคล้องกับภารกิจของ Casetify ในการสร้างชุมชนสร้างสรรค์ทั่วโลก” Wesley Ng ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Casetify กล่าว

ต่อจากนี้ C Ventures จะถือหุ้นใน Casetify ราวร้อยละ 10 โดยบริษัทระบุว่า มีแผนที่จะใช้เงินทุนเพื่อเร่งการเติบโตของยอดขาย เปิดร้านค้าปลีกทั่วโลกให้มากขึ้น และจัดหาเงินทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการที่มีศักยภาพ 

นอกจากนี้ Casetify ยังตั้งใจที่จะขยายเครือข่ายภายในห้างสรรพสินค้าและหอศิลป์ของ New World ที่ดำเนินการภายใต้แบรนด์ไลฟ์สไตล์ K11 ของ Cheng ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 เช่นกัน

<img class="alignnone wp-image-47634" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/07/iqb964dd4d4ccd7a0472786a7ede7072b7.jpg" alt="Adrian Cheng" width="720" height="480" />

Casetify ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มอุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ด้วยการนำเสนอเคสโทรศัพท์และอุปกรณ์เสริมอิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย โดยร่วมมือกับศิลปินชั้นนำอย่าง BTS, Pharrell Williams และ Jean-Michel Basquiat และแบรนด์ระดับโลกอย่าง NBA, Disney และ Pokemon

Casetify กล่าวว่า บริษัทสามารถทำกำไรได้ภายใน 12 เดือนแรกหลังจากเปิดตัวธุรกิจ โดยมีรายได้ประมาณ 310 ล้านเหรียญในปี 2020

ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เน้นโซเชียลมีเดียเป็นหลัก Casetify สามารถสร้างผู้ติดตามจำนวนมากบนอินสตาแกรมถึง 2.4 ล้านคน โดยส่วนมากเป็นผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล

นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา Casetify เปิดร้านทั้งหมด 7 แห่งทั่วฮ่องกง ท่ามกลางกระแสซบเซาในตลาดค้าปลีกที่ขยายวงกว้างขึ้น พร้อมกับการขยายสาขาไปยังญี่ปุ่น และล่าสุดในสหรัฐอเมริกา

<article id="post-47565" class="post-47565 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-asia category-world tag-apple-daily tag-jimmy-lai tag-11359 tag-12736 tag-506">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Hong Kong’s Adrian Cheng Targets Millennials By Investing In Tech Accessories Brand Casetify โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/lee-seung-gun-จากทันตแพทย์สู่มหาเศ.html">Lee Seung-gun จากทันตแพทย์สู่มหาเศรษฐีฟินเทค Viva Republica</a>

</div>
</article>

Adrian Cheng นำ C Ventures ผนึกกำลัง Casetify ขยายเครือข่ายทั่วโลก

<h2>Adrian Cheng แห่ง New World Development ต้องการสร้างมรดกชิ้นใหม่คือ Victoria Dockside ในฮ่องกงไว้สำหรับโชว์แบรนด์ K11 อันเป็นส่วนผสมของ “ศิลปะ ผู้คน และธรรมชาติ”</h2>
New World Centre ซึ่งเป็นศูนย์คอมเพล็กซ์อเนกประสงค์ แต่ถูกรื้อถอนไปราว 10 ปีก่อน เพื่อเปิดทางให้กับโครงการ Victoria Dockside ที่ Cheng เข้ามาดูแลด้วยตนเองตั้งแต่แรกเริ่ม โครงการใหม่นี้สร้างขึ้นบนพื้นที่ที่เคยเป็นโครงการเด่นของคุณปู่ และเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการพัฒนาแบรนด์ K11

“ผมไม่ได้กำลังสืบทอดธุรกิจอายุ 50 ปีของครอบครัว หรือพยายามเกาะไม่ปล่อย ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมกำลังเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูเพื่อสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่” Cheng กล่าว

Henry Cheng Kar-shun บิดาของเขายังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ New World ขณะที่ลูกชายคนโตรับหน้าที่รองประธานกรรมการและผู้จัดการทั่วไปมาตั้งแต่ปี 2017

เช่นเดียวกับศูนย์การประชุม โครงการ Victoria Dockside มูลค่า 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยง Victoria Dockside ดำเนินโครงการมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปี 2018 และเปิดตัวในช่วงที่ฮ่องกงเผชิญสภาวะตกต่ำที่สุดในรอบทศวรรษพอดี การประท้วงที่ยืดเยื้อมาหลายเดือนบวกกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

<img class="alignnone wp-image-31562 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/025-FA0220_1.jpg" alt="Victoria Dockside" width="600" height="435" />

คอมเพล็กซ์แห่งนี้เป็นผลงานขนาดใหญ่ที่สุดและประณีตที่สุดของแบรนด์ ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงาน 65 ชั้นที่มีชื่อว่า K11 Atelier อะพาร์ตเมนต์หรู K11 Artus และห้างสรรพสินค้า K11 Musea พร้อมห้องจัดแสดงงานศิลปะภายในคอมเพล็กซ์มีเพียง Rosewood Hong Kong ที่นับได้ว่าเป็นแบรนด์ใหญ่นอกกลุ่ม K11 แต่ก็เป็นสมาชิกเครือโรงแรมหรูที่ตระกูล Cheng เป็นเจ้าของอยู่นั่นเอง

K11 เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ผสมผสาน “ศิลปะ คน และธรรมชาติ” หลอมรวมองค์ประกอบของงานออกแบบเชิงศิลปะ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ทั้งในพื้นที่สาธารณะและพื้นที่ส่วนตัวเข้าไว้ด้วยกัน “ผมไม่ได้มองว่า K11 Musea เป็นห้างสรรพสินค้า แต่เป็นสถานที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาเรียนรู้ ได้รับความรู้ และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมต่างๆ”

เพื่อทำความฝันให้เป็นจริง เขาจึงว่าจ้างนักออกแบบ สถาปนิกและศิลปิน 100 คนทั่วโลก แต่ละคนมีหน้าที่ดูแลส่วนต่างๆ ของคอมเพล็กซ์ แม้กระทั่งพื้นที่ใช้สอยอย่างลานจอดรถ หนึ่งในคณะทำงานคือ Kohn Pedersen Fox Associates ซึ่งเป็นบริษัทด้านสถาปัตยกรรมชั้นนำแห่งหนึ่งของโลกจาก New York

ตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์แบรนด์ K11 อย่างเห็นได้ชัดคือ K11 Musea ซึ่งเป็นเอเทรียม 8 ชั้น มีช่องกระจกคู่รูปวงกลมและลูกแก้วขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10.4 เมตรลอยเหนือพื้นที่ที่ออกแบบไว้สำหรับงานจัดแสดงหรือการแสดงต่างๆ

<figure><img class="wp-image-31560 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/06/K11-New-World-Development_02.jpg" alt="Victoria Dockside" width="400" height="600" /><figcaption> Adrian Cheng รองประธานกรรมการและผู้จัดการทั่วไป New World Development</figcaption></figure>

การเดิมพันของ Cheng เริ่มส่งสัญญาณความสำเร็จ แม้เศรษฐกิจของฮ่องกงจะหดตัวแต่ K11 Musea เปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการเช่าพื้นที่ร้อยละ 97 ขณะที่ K11 Atelier มีสัดส่วนการเช่าพื้นที่ร้อยละ 80 ในอัตรา 100 เหรียญฮ่องกง (13 เหรียญสหรัฐฯ) ต่อตารางฟุตหรือสูงกว่าค่าเช่าพื้นที่สำนักงานเกรด A เฉลี่ยร้อยละ 33

คอมเพล็กซ์แห่งนี้คว้ารางวัลมาครองมากมาย แม้กระทั่งรางวัลสำหรับลานจอดรถที่ประกอบไปด้วยผลงานภาพเขียนบนกำแพงของ Cara To ศิลปินชาวเบลเยียมที่พ่อแม่เป็นชาวฮ่องกง

“เราวางสโลแกนของ New World Development ไว้ว่า เราสร้างสรรค์ด้วยงานศิลป์” Cheng กล่าว “ผมอยากให้ทุกคนเชื่อว่าพวกเขาคือ ผู้สร้างสรรค์ผลงาน พวกเขาสามารถสร้างนวัตกรรมสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ"

&nbsp;

อภิมหาโปรเจกต์ 

ไม่เพียงแต่ K11 และ Victoria Dockside เท่านั้น แต่ Cheng ยังคงขยายกิจการของ New World อย่างต่อเนื่องผ่านโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ โครงการขนาดใหญ่ที่สุด 2 โครงการของ New World อยู่ระหว่างการก่อสร้างคือ Skycity มูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญฮ่องกง และ Kai Tak Sports Park มูลค่า 3 หมื่นล้านเหรียญฮ่องกง

สำหรับ Skycity มีพื้นที่ 25 เฮกตาร์ เมื่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2027 จะกลายเป็นคอมเพล็กซ์อเนกประสงค์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของฮ่องกง ขณะที่ Kai Tak Sports Park จะตั้งอยู่บริเวณที่เคยเป็นสนามบิน Kai Tak เก่า ประกอบไปด้วยสนามกีฬาความจุ 5 หมื่นที่นั่ง ศูนย์กีฬาในร่มความจุ 1 หมื่นที่นั่ง และสนามกีฬาสาธารณะความจุ 5,000 ที่นั่ง ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2023

ตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า New World ต้องการขยายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงให้ได้กว่า 3 เท่าตัว จากพื้นที่ 2.3 ล้านตารางฟุต เป็น 9.8 ล้านตารางฟุต ส่วนในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นคาดว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของบริษัทจะขยายตัวจาก 0.2 ล้านตารางเมตร เป็น 1.3 ล้านตารางเมตร

Cheng บอกว่า บริษัทของเขาอยากจะวางตำแหน่งทางการตลาดใหม่ โดยจะหันไปให้ความสำคัญกับพื้นที่ “Greater Bay Area” ของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตั้งอยู่ในรัศมี 100 กม. รอบฮ่องกงที่จีนต้องการจะพัฒนาเป็นมหานครแบบบูรณาการ ประกอบไปด้วย Guangzhou, Shenzhen และ Zhuhai

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/global/colin-huang-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-pinduoduo-%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89.html">Colin Huang ผู้ก่อตั้ง Pinduoduo รวยแซงหน้า Jack Ma ขึ้นแท่นมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของจีน</a>

<hr />

<a href="https://bit.ly/3dp757n">คลิกอ่านฉบับเต็ม Victoria Dockside ก้าวที่กล้าของ New World Development ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-29538" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/05/COVER_750.jpg" alt="" width="300" height="394" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events