<h2>Abhay Soi วัย 48 ปี ประธานและกรรมการผู้จัดการ Max Healthcare Institute สถาบันทางการแพทย์ด่านหน้าในการรักษา ทดสอบ และฉีดวัคซีนโควิด-19 ก้าวเข้าสู่ทำเนียบมหาเศรษฐีอินเดีย หลังหุ้นของโรงพยาบาลปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 163 ในปีที่ผ่านมา </h2>
<figure><img class="wp-image-50403" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/Max_1594049739051_1594049747934_1597989569759-1024x577.jpg" alt="Abhay Soi" width="720" height="406" /><figcaption> Max Healthcare Institute</figcaption></figure>

Abhay Soi ผู้ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ  23 ใน Max Healthcare Institute มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิมากกว่า 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

Max ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเครือโรงพยาบาลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอินเดีย รองจาก Apollo Hospitals ซึ่งก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีแพทย์ <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/prathap-reddy/?sh=21710ed329c7">Prathap Reddy</a> 

ปัจจุบัน โรงพยาบาล ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ใน New Delhi มีบุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 3,000 คนในสถานพยาบาลทั้งหมด 17 แห่ง โดยมี 14 โรงพยาบาลตั้งอยู่ใน Delhi, Mumbai, Mohali, Bathinda และ Dehradun 

“ผมเชื่อว่าภาคบริการด้านการดูแลสุขภาพได้เข้าสู่ยุคทองแล้ว และด้วยสถานะที่ปลอดหนี้และกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของ Max Healthcare เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งเดียวกันนี้” Soi กล่าวพร้อมเสริมว่า “ผมคาดการณ์ถึงการเติบโตอีกหลายเท่าในปีต่อๆ ไป”

รายงานล่าสุดจาก HDFC Securities บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินใน Mumbai คาดการณ์ว่า Ebitda จะเติบโตร้อยละ 29 ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยได้รับแรงสนับสนุนจากงบดุลและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

ในไตรมาสล่าสุด Max รายงานอัตรากำไรจากการดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 27.2 โดยได้แรงหนุนจากอัตราการเข้าพักและการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าตลอดทั้งปีจะมีรายได้รวมลดลงร้อยละ 12 มาอยู่ที่ 38,610 ล้านรูปี (528 ล้านเหรียญ)

ในเดือนสิงหาคม Max ได้รับสิทธิแต่เพียงรายเดียวจาก ET Planners Pvt Ltd. ในการพัฒนาโรงพยาบาลขนาด 3.5 เอเคอร์ 500 เตียง ในเมือง Saket ทางตอนใต้ของ Delhi ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของ Max 2 แห่ง เพื่อปูทางไปสู่การสร้างศูนย์การแพทย์ที่อยู่ติดกันขนาด 23 เอเคอร์ 2,300 เตียง

ล่าสุด เครือโรงพยาบาล ซึ่งมีแผนกดูแลสุขภาพที่บ้านและหน่วยงานวินิจฉัยโรค ได้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ไปแล้ว 35,000 ราย ทั้งยังได้ดำเนินการตรวจ RT-PCR (การ Swab เก็บตัวอย่างเชื้อบริเวณลำคอ และหลังโพรงจมูก) 650,000 รายและฉีดวัคซีน 1.5 ล้านเข็มใน 15 เมืองและชุมชนต่างๆ ในอินเดีย

Soi ผู้ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก St. Stephens’ College และปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจจาก European University ในเบลเยียม เริ่มต้นทำงานในผู้ให้คำปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างธุรกิจที่บริษัทที่ปรึกษา Arthur Andersen ใน Mumbai 

"Abhay เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความมุ่งมั่นมากที่สุดที่ผมเคยทำงานด้วย” Munesh Khanna หุ้นส่วน Backbay Advisors ใน Mumbai เจ้านายคนแรกของ Soi ที่ Andersen กล่าว

หลังจากนั้น Soi ย้ายไปทำงานในแผนกปรับโครงสร้างองค์กรที่ EY และ KPMG ก่อนที่ในปี 2010 เส้นทางอาชีพของเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี เพราะในขณะที่กำลังทำงานเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างให้กับ BL Kapur  Hospital ใน Delhi  ลูกค้าก็ได้แสดงความปรารถนาที่จะขายทรัพย์สินในส่วนนี้ เขาจึงตัดสินใจเข้าซื้อบริษัทที่ดำเนินงานภายในโรงพยาบาล ด้วยเงินระดมทุนจาก JP Morgan

ด้วยความเชี่ยวชาญในการปรับโครงสร้าง เขาจึงสามารถสร้างโรงพยาบาลขึ้นมาใหม่ได้และชำระหนี้ทั้งหมด ต่อมาในปี 2014 Soi ก็ได้เข้าบริหาร Nanavati Hospital ในชานเมือง Mumbai  ที่กำลังประสบปัญหา ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้พลิกฟื้นกิจการได้สำเร็จอีกครั้ง

เมื่อปีที่แล้ว ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาด Soi ได้ดำเนินการควบรวมกิจการครั้งสำคัญระหว่าง Radiant และ Max Healthcare ในข้อตกลงหลายระดับ โดยได้รับการสนับสนุนจาก KKR บริษัทไพรเวทอิควิตี้ เพื่อจัดตั้ง Max Healthcare Institute ซึ่งได้รับการจดทะเบียนในเดือนสิงหาคม 2020 (KKR ถือหุ้นร้อยละ 49 ในบริษัทผ่าน Kayak Investments) 

การควบรวมกิจการข้างต้นนับเป็นส่วนหนึ่งของแผน 2018 ของ Max Group ใน Delhi ที่ต้องการควบรวมธุรกิจโรงพยาบาลกับ Radiant Life Care 

ทั้งนี้ Max Healthcare ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 โดยมหาเศรษฐี <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/analjit-singh/?sh=4769b4c11d7a">Analjit Singh</a> ซึ่งในท้ายที่สุดได้ตัดสินใจที่จะยุติการดำเนินธุรกิจไป

ด้าน Soi เมื่อถูกถามถึงสถานะมหาเศรษฐีพันล้าน ที่เพิ่งได้มา เขาแสดงความเห็นว่า “เป็นทั้งโอกาสและเสรีภาพของผมในการใช้ทรัพยากรที่มี เพื่อพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นและช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส” ผ่านทาง Soi family foundation ซึ่งเป็นมูลนิธิที่เขาก่อตั้งร่วมกับภรรยา Taruna เพื่อมุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพและการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส

<article id="post-50302" class="post-50302 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-asia category-world tag-2885 tag-12528">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail"><article id="post-50237" class="post-50237 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-asia category-world tag-airasia tag-super-app tag-tony-fernandes tag-519">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ India’s Newest Billionaire Is Turnaround Specialist-Owner Of Hospital Chain Battling Covid-19 เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/cadila-healthcare-ในรัฐ-gujarat-ของมหาเศรษฐี-pankaj-r-patel.html">Cadila Healthcare ผู้ผลิต ZyCov-D วัคซีนโควิดตัวแรกของอินเดีย สำหรับวัยรุ่น 12-18 ปี</a>

</div>
</article></div>
</article>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events