<h2>กสิกรไทยร่วมมือ รฟม. BEM และวีซ่า เชื่อมต่อระบบรับชำระเงินขนส่งสาธารณะผ่านบัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทย พร้อมแตะจ่าย MRT ได้แล้วทุกสาย ยกระดับชีวิตคนเมืองให้เดินทางสะดวกไปได้อีก คาดปี 68 มูลค่าธุรกรรมที่ MRT โตกว่า 9 เท่า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารกสิกรไทย ร่วมมือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และวีซ่า ยกระดับการใช้ชีวิตคนเมืองให้เดินทางง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ด้วยการเชื่อมต่อระบบการรับชำระเงินขนส่งสาธารณะผ่านบัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทย ให้สามารถแตะจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT ได้ทุกสาย โดยไม่ต้องเสียเวลาเติมเงิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมทั้งครอบคลุมการชำระเงินระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ ทั้งรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ทางด่วน รถโดยสารประจำทาง ขสมก. และยังใช้แตะจ่ายที่สถานีบริการน้ำมันได้อีกด้วย โดยตั้งเป้าปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตกสิกรไทยในหมวดขนส่งสาธารณะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแตะจ่ายที่สถานีรถไฟฟ้า MRT คาดว่าจะเติบโตกว่า 9 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.เกษชญง สกาวรัตนานนท์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่างธนาคารกสิกรไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และวีซ่า เพื่อพัฒนาเชื่อมต่อระบบการรับชำระเงินขนส่งสาธารณะผ่านบัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้แก่ลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ต้องเดินทางด้วยความเร่งรีบ ให้ได้รับความสะดวก และรวดเร็วในการเดินทางมากขึ้น โดยไม่ต้องเสียเวลาเติมเงินหรือซื้อเหรียญโดยสาร ไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรหลายใบ ไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวซื้อบัตรโดยสาร เพียงแค่ใช้บัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทยใบเดียวก็สามารถแตะจ่ายค่าโดยสารขนส่งสาธารณะได้ครอบคลุม ทั้งระบบรถไฟฟ้า MRT ทุกสาย ได้แก่ สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีเหลือง และสายสีชมพู รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ทางด่วน รถโดยสารประจำทาง ขสมก. รวมทั้งใช้แตะจ่ายได้ที่สถานีบริการน้ำมันได้ ด้วยเทคโนโลยี EMV Contactless ที่ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงความปลอดภัยในการชำระเงิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.เกษชญง กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคของไทยจะเปลี่ยนวิธีการชำระเงินไปสู่การใช้โมบายแบงก์กิ้งมากขึ้น แต่แนวโน้มการใช้บัตรเดบิตเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการด้วยวิธีการแตะจ่ายปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ขนส่งสาธารณะ สถานีบริการน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหาร ซึ่งสอดคลองกับข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า การชำระเงินผ่านบัตรส่วนใหญ่ของคนไทยเป็นการชำระเงินด้วยบัตรเดบิต คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 62% ของมูลค่าการชำระเงินด้วยบัตรพลาสติกทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปัจจุบันบัตรเดบิตกสิกรไทยมีสัดส่วนมูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตร (Volume Market Share) กว่า 50% ของตลาด ซึ่งหลังจากการเชื่อมต่อการรับชำระเงินขนส่งสาธารณะผ่านบัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทย คาดว่าจะทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านหมวดขนส่งสาธารณะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการแตะจ่ายที่สถานีรถไฟฟ้า MRT คาดว่าจะเติบโตกว่า 9 เท่า​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/09/joqZM5nd6jFUvQxyNQak.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="joqZM5nd6jFUvQxyNQak.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นพร อิงคตานุวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด วีซ่า ประเทศไทย กล่าวว่า วีซ่ามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในการพัฒนาระบบการชำระเงินที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การเดินทางในชีวิตประจำวันของคนเมือง การแตะจ่ายผ่านบัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทยบนระบบขนส่งสาธารณะ ไม่เพียงแต่เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทของวีซ่าในฐานะผู้นำด้านการชำระเงินดิจิทัล ที่มุ่งมั่นในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศ และช่วยผลักดันการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเป็นรูปธรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ธนาคารกสิกรไทย ยังมอบโปรโมชันพิเศษ คุ้มติดสปีด สำหรับลูกค้าที่ใช้บัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทยแตะจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT ทุกสาย ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 – 30 พฤศจิกายน 2568 อีกด้วย โดยลูกค้าปัจจุบันที่ใช้บัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทยแตะจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า สามารถรับฟรี เมนูเครื่องดื่ม หรือตั๋วชมภาพยนตร์ เพียงลงทะเบียนเข้าร่วมแคมเปญผ่านทาง Line @kbanklive และใช้แตะจ่ายตามเงื่อนไขดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-เมื่อใช้แตะจ่าย MRT ครบ 5 วันต่อเดือน รับฟรี ชานมไข่มุก KAMU 1 แก้ว มูลค่า 70 บาท (จำกัด 1 ท่าน/ 1 สิทธิ์/ เดือน รวมทั้งสิ้น 4,500 สิทธิ์ต่อเดือน และ 13,500 สิทธิ์ตลอดระยะเวลาแคมเปญ) หรือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-เมื่อใช้แตะจ่าย MRT ครบ 15 วันต่อเดือน รับฟรี ตั๋วชมภาพยนตร์ SF 1 ที่นั่ง มูลค่า 280 บาท (จำกัด 1 ท่าน/ 1 สิทธิ์/ เดือน รวมทั้งสิ้น 1,000 สิทธิ์ต่อเดือน และ 3,000 สิทธิ์ตลอดระยะเวลาแคมเปญ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับลูกค้าใหม่ที่สมัครบัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทย และใช้แตะจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT ก็สามารถรับความคุ้มกับโปรโมชันคุ้มติดสปีดได้เช่นกัน เพียงสมัครและใช้แตะจ่ายตามเงื่อนไขดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-เมื่อสมัครบัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทย และใช้แตะจ่าย MRT ครั้งแรก รับฟรีเบอร์เกอร์ McDonald’s 1 ชิ้น มูลค่า 49 บาท (จำกัด 3,000 สิทธิ์ต่อเดือน และ 9,000 สิทธิ์ตลอดระยะเวลาแคมเปญ) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 – 30 พฤศจิกายน 2568 โดยลงทะเบียนเข้าร่วมแคมเปญผ่านทาง Line @kbanklive&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับลูกค้าใหม่ที่เปิดบัญชี K-eSavings พร้อมสมัครบัตรเดบิตวีซ่ากสิกรไทย ที่บูธธนาคารกสิกรไทย ณ สถานี MRT 4 สถานี ได้แก่ พระราม 9 เพชรบุรี สุขุมวิท และลาดพร้าว ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2568 – 27 กันยายน 2568 รับบัตรกำนัลเซ็นทรัล มูลค่า 100 บาท จำกัด 300 สิทธิ์แรก เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bank-of-thailand-will-issue-new-50-baht-and-100-baht-banknotes-effective-november-21-2025" alt="แบงก์ชาติ ออกธนบัตรใหม่ 50 บาท และ 100 บาท เริ่มใช้ 21 พ.ย. 2568 ส่วนแบบเก่ายังใช้ได้ปกติ">แบงก์ชาติ ออกธนบัตรใหม่ 50 บาท และ 100 บาท เริ่มใช้ 21 พ.ย. 2568 ส่วนแบบเก่ายังใช้ได้ปกติ</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘กสิกรไทย’ ให้ใช้บัตรเดบิตวีซ่า แตะจ่าย MRT ได้ทุกสาย ครอบคลุมแอร์พอร์ต ลิงก์ - ทางด่วน - รถ ขสมก.

<h2>คอลลิเออร์สชี้อสังหาฯ กรุงเทพฯสต๊อกคงตัวเท่าปีก่อน 3-4 หมื่นยูนิต ทำเลสายสีม่วงยังวิกฤติคอนโดฯโอเวอร์ซัพพลาย 8-9 พันยูนิต ดีเวลอปเปอร์เบรกโครงการถือที่ดินเปล่ารอพัฒนา พร็อพทูมอร์โรว์เปิดธุรกิจใหม่ เอเย่นต์อสังหาฯ-Property Tech ลดค่ามัดจำห้องชุดให้เช่า</h2>
บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด เปิดตัว 2 ธุรกิจใหม่บริษัท Agent และ Property Tech โดยภายในงานมีการจัดเสวนาตอบรับอสังหา ยุค 4.0 สุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนา บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯและปริมณฑล ปัจจุบันมีสต๊อกเหลือขายประมาณ 3 หมื่นยูนิต หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ทรงตัวเท่ากับปีก่อน

ซึ่งถือว่าสถานการณ์ภาพรวมยังไม่โอเวอร์ซัพพลาย เพราะอสังหาฯในกรุงเทพฯสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ปีละ 5 หมื่นยูนิต สต๊อกสร้างเสร็จเหลือขายหากไม่มีการสร้างเพิ่มจะระบายได้หมดภายใน 1 ปี แต่ผู้ประกอบการยังไม่นิ่งนอนใจ ต่างพยายามระบายสต๊อกเต็มที่ผ่านโปรโมชั่นต่างๆ

อย่างไรก็ตาม บางทำเลมีซัพพลายเหลือขายมากกว่าที่ควร เช่น แนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-บางใหญ่ ยังมีซัพพลายคอนโดมิเนียมเหลือขาย 8-9 พันยูนิต แม้จะไม่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อสต๊อกยังไม่ลดลงทำให้บริษัทจัดสรรต่างชะลอโครงการและเลือกจะถือครองที่ดินเปล่ารอจังหวะไปก่อน

ยกเว้นบางโครงการที่มีความมั่นใจจึงจะเปิดตัวโครงการ เช่น เดอะ โพลิแทน รีฟ สถานีสะพานพระนั่งเกล้า พัฒนาโดยบมจ.เอเวอร์แลนด์ ซึ่งเฟสแรก 1 พันกว่ายูนิตมียอดขายแล้ว 90% ทำให้เปิดเฟสที่สองต่อเนื่องอีก 2 พันกว่ายูนิต

สุรเชษฐกล่าวเพิ่มเติมว่า แนวรถไฟฟ้าสายอื่นที่อยู่ระหว่างก่อสร้างที่ต้องระมัดระวังในการลงทุนซื้อคอนโดมิเนียม ได้แก่ สีเขียวส่วนต่อขยายแบริ่ง-สมุทรปราการ ช่วงถัดจากสถานีเอราวัณเป็นต้นไป ซึ่งยังมีโครงการแนวราบราคาใกล้เคียงคอนโดฯเป็นทางเลือกให้ผู้ซื้อ ทำให้คอนโดฯมีโอกาสโอเวอร์ซัพพลาย

รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต ซึ่งวางเส้นทางตามทางรถไฟคู่ขนานกับถนนวิภาวดี-รังสิต เป็นบริเวณที่มีชุมชนอยู่อาศัยเบาบาง จึงไม่ใช่ทำเลเหมาะสมในการลงทุนคอนโดฯ

ด้าน สุธาทร สุทธิสนธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ <a href="http://www.prop2morrow.com/">www.prop2morrow.com</a> เปิดเผยว่า บริษัทมีการขยายธุรกิจใหม่เพิ่มอีก 2 ธุรกิจ คือ PropVestors เป็นบริการนายหน้าอสังหาฯ ซื้อ ขาย ปล่อยเช่า และร่วมลงทุนกับนักลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพ และอีกหนึ่งธุรกิจคือ Propa Chill ซึ่งจะเป็นบริการในลักษณะ Property Tech

กรณ์กวินท์ พีระเดชไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอวีพี 24 เอ็นเทอร์ไพรซ์ จำกัด ผู้พัฒนา Propa Chill กล่าวว่า Propa Chill จะใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาของผู้เช่าห้องชุดที่ต้องจ่ายค่ามัดจำระยะเวลา 3 เดือนเพื่อคุ้มครองห้องในกรณีห้องชุดเสียหายหรือบอกเลิกสัญญา ซึ่งเป็นข้อจำกัดทำให้ผู้เช่าไม่สะดวกในการเช่าห้องชุดแห่งใหม่

“เรากำลังติดต่อเป็นพันธมิตรกับสถาบันการเงินเพื่อมาสนับสนุนบริการนี้ ผลจะทำให้ผู้เช่าจ่ายค่ามัดจำน้อยลงและจ่ายง่ายขึ้น ขณะที่เจ้าของห้องจะยังได้รับความคุ้มครองห้องเหมือนเดิม คาดว่าจะสามารถเปิดตัวระบบที่แก้ไขปัญหานี้ได้ภายในสิ้นปี” กรณ์กวินท์กล่าว

ทั้งนี้ พร็อพทูมอร์โรว์ประเมินว่ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์สะสมทั่วประเทศปัจจุบันมีประมาณ 8.5 แสนยูนิต ในอีก 2 ปีคาดว่าจะแตะ 1 ล้านยูนิต ซึ่ง 10% ในจำนวนนี้เป็นคอนโดฯสำหรับปล่อยเช่า หรือคิดเป็น 1 แสนยูนิต ทำให้มองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจในการทำธุรกิจ

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events