<h2>ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เผยรายงาน UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 พบว่าภาคภาคธุรกิจไทยเร่งปรับตัวรับมือมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยกว่าร้อยละ 90 ของภาคธุรกิจคาดว่าจะเผชิญกับภาวะหยุดชะงักในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สถิตย์ แถลงสัตย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ผลสำรวจ UOB Business Outlook Study ประจำปี 2568 สะท้อนถึงความสามารถของภาคธุรกิจไทยในการปรับตัวต่อความท้าทายระดับโลก ทั้งมองหาโอกาสใหม่ในระดับภูมิภาค การปรับใช้เครื่องมือดิจิทัล และการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ล้วนเป็นแนวทางที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาคธุรกิจในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายปัจจัยที่ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งปรับตัว ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลผลสำรวจที่ออกมา ได้แก่1. ภาษีสหรัฐฯ ฉุดความเชื่อมั่น จุดประกายธุรกิจเร่งปรับตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวลดลงจากร้อยละ 58 ในปี 2024 เหลือร้อยละ 52 ภายหลังการประกาศมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กแสดงความกังวลมากที่สุด ปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันคือ ต้นทุนการดำเนินงานและเงินเฟ้อ โดยร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น และร้อยละ 57 คาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คืออสังหาริมทรัพย์และธุรกิจการให้บริการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภาคธุรกิจไทยได้ริเริ่มมาตรการสำคัญเพื่อรับมือสถานการณ์ ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ลดต้นทุน: ธุรกิจ 3 ใน 5 โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลาง (ร้อยละ 67) ได้ดำเนินการมาตรการลดต้นทุน&nbsp; &nbsp; - เพิ่มรายได้: ธุรกิจจำนวนมากมุ่งขยายฐานลูกค้าใหม่และแสวงหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์&nbsp; &nbsp; - ต้องการการสนับสนุน: ธุรกิจให้ความสำคัญกับความช่วยหลือทางการเงิน (ร้อยละ 92) การสนับสนุนด้านการค้าและห่วงโซ่อุปทาน (ร้อยละ 65) และการให้คำปรึกษาหรือฝึกอบรม (ร้อยละ 50) เพื่อสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัว2. ความกดดันในห่วงโซ่อุปทานผลักดันให้ธุรกิจไทยมุ่งเน้นตลาดภูมิภาค&nbsp; &nbsp; กว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจไทยมุ่งเน้นการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกากลับส่งผลให้ภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานทวีความรุนแรงขึ้น ร้อยละ 80 ของธุรกิจคาดว่าจะเผชิญความท้าทายเพิ่มเติมจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูง แนวทางสำคัญที่ธุรกิจจะใช้ในการรับมือ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การวิเคราะห์ข้อมูล: ธุรกิจ 4 ใน 10 ราย นำการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2024 แซงหน้ากลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง&nbsp; &nbsp; - การค้าภายในภูมิภาคอาเซียน: ธุรกิจเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกในภูมิภาคมากขึ้น ส่งผลให้การค้าภายในภูมิภาคเติบโต&nbsp; &nbsp; - ความต้องการสนับสนุน: ธุรกิจมองหามาตรการจูงใจทางภาษี การเข้าถึงเทคโนโลยี และการฝึกอบรมแรงงาน 3. การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลเร่งเสริมความสามารถในการปรับตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นกลยุทธ์หลักของธุรกิจ โดยเกือบร้อยละ 40 ของธุรกิจได้นำเครื่องมือดิจิทัลมาผสานรวมอย่างเต็มรูปแบบ และร้อยละ 68 คาดว่าจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลหลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง ทั้งนี้ ธุรกิจไทยมองว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ อาทิ การสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายการเข้าถึงลูกค้า และการเข้าสู่ตลาดที่รวดเร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ความกังวลเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ต้นทุน และความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ และกระตุ้นความต้องการด้านการฝึกอบรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะอุตสาหกรรม 4. ธุรกิจไทยเร่งเดินหน้าสู่ความยั่งยืน แม้ต้องเผชิญความท้าทาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจจะตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืน แต่มีเพียงร้อยละ 53 เท่านั้นที่ได้นำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ มากกว่าร้อยละ 60 คาดว่าจะเร่งดำเนินมาตรการเพื่อความยั่งยืน อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ต้นทุนที่สูง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่พร้อมจ่ายราคาพรีเมียมสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มากกว่าร้อยละ 30 อยู่ระหว่างการพิจารณานำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ พร้อมทั้งแสวงหาข้อมูลและคำปรึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางดังกล่าว 5. ธุรกิจไทยเร่งขยายสู่ต่างประเทศ โดยเน้นภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจไทยเกือบร้อยละ 90 มีแผนขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมากกว่าร้อยละ 50 คาดว่าจะเร่งดำเนินการหลังมาตรการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ประเทศเป้าหมายหลัก ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม รองลงมาคือจีนและภูมิภาคเอเชียเหนือ ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตของรายได้และกำไร แม้ยังเผชิญความ ท้าทายด้านจำนวนลูกค้าและความเข้าใจตลาดที่จำกัดในแต่ละประเทศก็ตาม ภาคธุรกิจจึงต้องการข้อมูลเชิงลึก การสนับสนุนทางการเงิน และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อขยายตลาดข้ามพรมแดน 6. แรงงานยังคงเป็นปัญหาหลักที่ธุรกิจต้องเผชิญ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ครึ่งหนึ่งของธุรกิจไทยยังคงเผชิญปัญหาด้านแรงงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้และความคาดหวังของบุคลากรรุ่นใหม่ ผลการสำรวจยังชี้ว่า ธุรกิจเกือบร้อยละ 40 จึงประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ แนวทางรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่ การเพิ่มค่าตอบแทน การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการสลับบทบาทหน้าที่ภายในองค์กร ภาพ: UOB เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/cimb-thai-economy-thai-july-2025" alt="CIMB Thai มองไตรมาส 3 ปี 68 ไทยฟื้นยาก ฝั่งการเมืองกดดันเศรษฐกิจ หลังนายกฯ พักงานชั่วคราว">CIMB Thai มองไตรมาส 3 ปี 68 ไทยฟื้นยาก ฝั่งการเมืองกดดันเศรษฐกิจ หลังนายกฯ พักงานชั่วคราว</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

UOB เผยผลสำรวจภาคธุรกิจกว่า 90% กังวลภาวะหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน แต่เร่งปรับตัวรับมือ ‘ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ’ แล้ว

<h2>สัญชาตญาณการตลาดอันชาญฉลาดของ Donald Trump หล่อหลอมให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมือง และสไตล์การเมืองของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดรูปแบบธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการสนับสนุนกลุ่มพวกพ้องเป็นสำคัญ ไม่มีใครที่จะสะท้อนให้เห็นแบรนด์อันทรงพลังแห่งอำนาจประชานิยมได้ดีไปกว่าซีอีโอขาโหดแห่งศึก UFC อีกแล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Dana White เดินออกจากอุโมงค์ลงสู่สนาม T-Mobile Arena เพื่อชมศึก UFC 310 ที่ Las Vegas เขาได้รับการต้อนรับราวกับเป็นแชมป์ศิลปะการต่อสู้แบบผสมมากกว่าจะเป็นเจ้าของเงินที่จ่ายให้กับนักกีฬาเสียอีก แฟนๆ ตะโกนเรียกชื่อของเขา แตะมือไฮไฟว์ โน้มตัวขอถ่ายรูปเซลฟี “นายยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” ผู้ชมคนหนึ่งบอกหลังได้รูปคู่กันมา 1 ช็อต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;White ซีอีโอวัย 55 ปี แห่งศึก Ultimate Fighting Championship รับมือได้ทุกสถานการณ์ ผู้ชมอีกคนบอกว่า “ขอบคุณมากครับที่ช่วยประธานาธิบดีของเรา” White ตอบกลับไปว่า “นั่นสินะ ขอบคุณพระเจ้าที่เราชนะ” 2 ทศวรรษที่ผ่านมา White ปลุกปั้นศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMA) ให้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ศึก UFC ของเขาเติบโตอย่าง ยิ่งใหญ่ตามไปด้วย โดยปีที่ผ่านมาทำรายได้ราว 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นอัตรากำไรเกือบ 60% เขาเองกลายเป็นคนดังยิ่งกว่านักชกคนใดก็ตามที่เข้ามายืนในกรงแปดเหลี่ยมด้วยซ้ำ Forbes ประเมินว่า White มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 600 ล้านเหรียญ “มีคนถามผมตลอดว่า เคยคิดมาก่อนไหมว่าจะมาได้ถึงจุดนี้? จะยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้?” White บอกกับ Forbes ว่า “ทุกครั้งผมตอบไปว่า ผมคิดอยู่แล้ว”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บังเอิญเหลือเกินที่เขาอยู่ท่ามกลางเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจการเมือง White จึงได้ใช้ชื่อเสียงของตัวเองออกโรงให้การสนับสนุน Donald Trump จนชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2024 เริ่มจากการมอบพื้นที่ให้ Trump ได้เฉิดฉายอย่างที่น้อยคนนักจะกล้าทำ ข้างเวที UFC ทั้งคู่ปรากฏตัวเคียงข้างกันเสมอนับตั้งแต่ Trump ก้าวลงจากตำแหน่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท่ามกลางเหตุการณ์รุนแรงเมื่อวันที่ 6 มกราคม และอีกครั้งเมื่อเขาถูกตั้งข้อหาแทรกแซงการเลือกตั้งในปี 2023 จนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีที่ผ่านมาเขายังจัดการให้ Trump ได้ออกอากาศรายการใหญ่ๆ ทางพอดแคสต์อีกหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกอากาศคู่กับ Joe Rogan ผู้บรรยายศึก UFC ในตำนานความสนิทสนมของทั้งคู่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนใจประชาชนหัวคัดค้านสู่ความพยายามที่จะออกมาเลือกตั้ง กลบกระแสเหล่าคนดังจากแดน Hollywood แนวอนุรักษ์ที่ออกมาสนับสนุน Kamala Harris&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ถ้าไม่นับเรื่องพวกนั้น การเดินสู่สนาม UFC และทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลาย” White กล่าว “เขาเพิ่งจะอยู่กับ Fox ได้ไม่รู้กี่ปีกันเชียว ไม่มีทางเลยที่เราจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่มันมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น Trump มีสัญชาตญาณทางการตลาดระดับอัจฉริยะ ด้วยความสามารถในการครอบครองพื้นที่สื่อและรายงานข่าว เขาเป็นคนพูดจาด้วยภาษาง่ายๆ คงเส้นคงวา ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดยิบย่อยจนส่งผลดีต่อการเมืองมากกว่าธุรกิจเสียอีก ขณะที่ White เองพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าวิธีการดังกล่าวให้ผลลัพธ์อีกทางหนึ่งด้วย กล่าวคือ กระแสที่เกิดขึ้นในยุคของ Trump เพื่อต่อต้านแนวทางปฏิบัติแบบเดิมๆ ได้ปลุกใจนักเลงและความรักเพื่อนฝูงหลายคนได้ออกมาสนุกสนานกับเรื่องที่เคยเป็นของต้องห้าม มองข้ามข่าวฉาวส่วนตัวจนเกิดเป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ที่กำลังได้รับความนิยม อย่างที่เห็นได้จากการพลิกโฉมธุรกิจของ Elon Musk ซึ่งถูกนำไปเลียนแบบเป็นจำนวนมาก ตลอดจนหุ้นมีมและโทเคนดิจิทัลที่ท้าทายตรรกะทั้งมวล การต้อนรับอินฟลูเอนเซอร์สื่อสังคมออนไลน์ ผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ รวมถึงวิธีการอื่นๆ ที่ใช้สื่อสารกับคนกลุ่มใหญ่ได้โดยตรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เรียกได้ว่าเป็น “ทุนนิยมประชานิยม” ซึ่งไม่มีใครทำได้ดีไปกว่า White เขาจะบอกว่า ตนเองเดินทางสายกลางแต่เอนซ้ายเล็กน้อย เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขารักเพื่อนพ้องในกลุ่มมากกว่าใครๆ “พวกเราทุกคนซื่อสัตย์ต่อกันสุดชีวิต” White กล่าวถึงกลุ่มคนสนิท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ถ้าผมต้องสู้ผมก็อยากจะให้เขาลุยเข้าถ้ำหมาป่าไปกับผม” Ari Emanuel ประธานบริหารและซีอีโอแห่ง TKO Group Holdings บริษัทแม่ของ UFC กล่าวถึง White “ผมรู้ว่าเขามาแน่”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สูตรการทำธุรกิจแบบไม่สนกระแสโลกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทรงพลังอย่างร้ายกาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจสีเทา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสื่อลามกไปจนถึงการพนันและกัญชา ซึ่ง White สามารถผลักดันจนกลายเป็นธุรกิจกระแสหลัก เวลานี้ในสหรัฐฯ ศึก UFC ยิ่งใหญ่กว่ากอล์ฟหรือฮอกกี้เสียอีก ไม่ว่าจะวัดจากรายได้การออกอากาศทางโทรทัศน์หรือกระแสความนิยม เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา Mark Zuckerberg เปิดโหมด MAGA (Make America Great Again) อย่างเต็มตัว และดึง White เข้ามาร่วมนั่งเก้าอี้คณะกรรมการของ Meta&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่า White มีความเชี่ยวชาญด้านสื่อมวลชน (และเคล็ดลับการจับล็อกที่เขาอาจแบ่งปันให้กับผู้ก่อตั้ง Facebook เจ้าของเข็มขัดยิวยิตสูสายน้ำเงิน) แต่นอกจากนี้เขายังสามารถเข้าถึงผู้กุมอำนาจในระดับสูงสุด และได้รับความภักดีจากบุคคลระดับผู้บริหารประเทศในการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ Trump เรียกได้ว่า White จับจองที่นั่งด้านหลัง George W. Bush และ Barack Obama มาติดๆ และยังเหนือกว่ารัฐมนตรีอีกหลายคน เรื่อง: Matt Craig, เรียบเรียง: รัน-รัน, ภาพประกอบ: Ethan Pines,&nbsp;ออกแบบภาพปกโดย ธัญวดี นิรุติศาสตร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/michael-strahan-and-his-watch-collection" alt="Michael Strahan เพราะเวลาไม่เคยหยุด จากนักกีฬาสู่การสะสมนาฬิกาหรู"></a><a href="https://forbesthailand.com/world/america/the-new-trumpiverse-trump-s-inner-circle" alt="จักรวาลใหม่ใต้เงา Trump เปิดสายสัมพันธ์แห่งอำนาจเบื้องหลังเวทีการเมืองสหรัฐฯ">จักรวาลใหม่ใต้เงา Trump เปิดสายสัมพันธ์แห่งอำนาจเบื้องหลังเวทีการเมืองสหรัฐฯ</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-366034-Forbes-Thailand-May-2025" alt="​อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine">​อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-366034-Forbes-Thailand-May-2025" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-366034-Forbes-Thailand-May-2025" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/05/JqtARBAL351v8rSiQyD3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="JqtARBAL351v8rSiQyD3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-366034-Forbes-Thailand-May-2025" origin-size="300,394" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></a></figure></div>​

Dana White ซีอีโอแห่งศึก UFC ในบทบาทนักทุนนิยมประชานิยม

<h2>ธนาคารไทยพาณิชย์ เร่งสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยสู่&nbsp;Net Zero&nbsp;ประกาศความสำเร็จให้การสนับสนุนการเงินยั่งยืน&nbsp;(Sustainable Finance) ตลอด&nbsp;3&nbsp;ไตรมาสแรก ทะลุ&nbsp;52,000&nbsp;ล้านบาท คิดเป็น&nbsp;52%&nbsp;ของเป้าหมาย&nbsp;3&nbsp;ปี ที่ตั้งไว้&nbsp;1&nbsp;แสนล้านบาทภายในปี&nbsp;2025&nbsp;</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์&nbsp;กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ดำเนินธุรกิจอยู่คู่กับคนไทยมากว่า&nbsp;116&nbsp;ปี ยึดมั่นในการดำเนินองค์กรเพื่อความยั่งยืนบนหลักการธรรมภิบาลโดยตระหนักถึงการสร้างคุณค่าให้แก่องค์กร ลูกค้า และสังคมโดยรวม เมื่อทั่วโลกกำลังเผชิญความท้าทายทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับการนำนโยบาย&nbsp;ESG&nbsp;เข้ามาผสานไว้ในแผนธุรกิจเพื่อรักษาขีดความสามารถและการเติบโตอย่างยั่งยืน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 50%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/RRL5sk2RE45q8UNDTYab.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="RRL5sk2RE45q8UNDTYab.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทางบริษัทจึงมีเป้าหมายการปฏิบัติงานเพื่อมุ่งสู่&nbsp;Net Zero&nbsp;จากการดำเนินงานภายในของธนาคารภายในปี&nbsp;2030&nbsp;และ จากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี&nbsp;2050&nbsp;โดยมุ่งเน้นการนำพาองค์กร ลูกค้า และสังคม ให้ก้าวไปข้างหน้า สร้างการเติบโตทางธุรกิจและเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางปฏิบัติใน&nbsp;3&nbsp;ส่วน ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ปรับการดำเนินงานภายในองค์กรสู่&nbsp;Net Zero&nbsp;ภายในปี&nbsp;2030&nbsp;ธนาคารได้เริ่มทยอยปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานในอาคารสำนักงานใหญ่เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ ลดการใช้พลังงานในอาคาร&nbsp;10-15%&nbsp;ด้วยการเพิ่มแสงสว่างในอาคาร การเปลี่ยนหลอดไฟเป็น&nbsp;LED&nbsp;และระบบถ่ายเทความร้อนในอาคาร&nbsp;เตรียมการติดตั้ง&nbsp;Solar Cell&nbsp;ที่สำนักงานใหญ่ เปลี่ยนเป็นเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น&nbsp;R32&nbsp;ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่า&nbsp;3,000&nbsp;เครื่อง รวมถึงเปลี่ยนการใช้รถยนต์เป็นรถ&nbsp;EV&nbsp;100%&nbsp;โดยคาดว่าการดำเนินการทั้งหมดจะสำเร็จ 100%&nbsp;ภายในปี&nbsp;2028&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. สนับสนุนผลิตภัณฑ์การเงินยั่งยืนให้ลูกค้ามุ่งสู่&nbsp;Net Zero&nbsp;ภายในปี&nbsp;2050&nbsp;ธนาคารต้องการมีส่วนในการผลักดันให้ลูกค้าทุกกลุ่มเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ&nbsp;Low Carbon&nbsp;Economy&nbsp;เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เส้นทางของ&nbsp;Net Zero&nbsp;ร่วมกัน ผ่านการสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance)&nbsp;ในรูปแบบต่างๆ ให้กับลูกค้าทุกกลุ่ม โดยมีเป้าหมายการให้สินเชื่อและการลงทุนจำนวน&nbsp;100,000&nbsp;ล้านบาทภายในปี&nbsp;2025&nbsp;พร้อมด้วยการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการปรับองค์กรให้แก่ลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถปรับตัวรองรับกับโลกใหม่ที่ยั่งยืนไปด้วยกันได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.&nbsp;ผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมโดยรวม&nbsp;ธนาคารดำเนินการให้ความรู้แก่ลูกค้าธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และ&nbsp;SME&nbsp;เพื่อปรับตัวสู่ความยั่งยืน โดยปีนี้มีลูกค้าสนใจเข้าร่วมกว่า&nbsp;500&nbsp;บริษัท&nbsp;ดำเนินโครงการการช่วยเหลือสังคมเพื่อความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมกว่า&nbsp;14&nbsp;โครงการหลัก&nbsp;อาทิ&nbsp;โครงการปลูกและอนุรักษ์ป่า&nbsp;โครงการจัดหาแหล่งน้ำ การพัฒนาชีวิตเยาวชน และชุมชนที่ดำเนินการมามากกว่า&nbsp;30&nbsp;ปี&nbsp;&nbsp;มุ่งเน้นผลักดันให้ภาคธุรกิจ และประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเพื่อให้คนไทยเห็นภาพตรงกันว่าเราต้องเคลื่อนเรื่องนี้ไปด้วยกัน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 516px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/mNcQDS1N8G44wTydLw6Q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="516px,645px" data-align="center" data-file-name="mNcQDS1N8G44wTydLw6Q.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,900" data-origin="516px,645px" style="width: 516px; height: 645px;" data-index="1"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์&nbsp;&nbsp;ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “ธนาคารเร่งเสริมสร้างความตระหนักรู้ของลูกค้าในประเด็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโอกาสจาการดำเนินธุรกิจ พร้อมจัดสัมมนาและแบ่งปันความรู้ผ่านหลักสูตรต่างๆ&nbsp;โดยลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อยให้ความสนใจและปรับตัวเพื่อสอดรับกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ส่งผลให้สินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในรอบ&nbsp;9&nbsp;เดือนแรกของปีนี้ทะยานสู่&nbsp;52,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่าเป้าหมายของปีนี้ที่วางไว้ที่&nbsp;3&nbsp;หมื่นล้านบาท และมาครึ่งทางของเป้าหมาย&nbsp;3&nbsp;ปีที่&nbsp;1&nbsp;แสนล้านบาทในปี&nbsp;2568"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนการเงินเพื่อความยั่งยืน&nbsp;52,000ล้านบาท ในระยะเวลา&nbsp;9&nbsp;เดือนแรกของปี&nbsp;2023 ที่ผ่านมา&nbsp;สามารถครอบคลุมการสนับสนุนลูกค้าทุกกลุ่มของธนาคาร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำในกว่า&nbsp;11&nbsp;อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ อาทิ การท่องเที่ยว พลังงาน และภาคการผลิต เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมุ่งเน้นโครงการเปลี่ยนผ่านสู่ไฟฟ้าพลังงานทางเลือกจำนวน&nbsp;12,600&nbsp;ล้านบาท กลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 10,000&nbsp;ล้านบาท การสนับสนุนการเงินที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่า&nbsp;26,100&nbsp;ล้านบาท รวมทั้งธุรกิจ&nbsp;SME SSME&nbsp;และลูกค้าบุคคลอีกกว่า&nbsp;3,000&nbsp;ล้านบาท ​อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7-orbix-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99" alt="กสิกรไทย เปิดตัว orbix ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางการเงิน">กสิกรไทย เปิดตัว orbix ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางการเงิน</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อพุ่งเกินเป้า 9 เดือนแรก 5.2 หมื่นล้านบาท

<h2>แบรนด์ชื่อดังเหล่านี้มาจาก 16 ประเทศและจาก 19 ภาคธุรกิจ ไม่ผิดคาดเท่าไหร่นักที่บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ กวาดอันดับต้นๆ ไปครอง บริษัทที่มีอันดับเพิ่มขึ้นสูงสุดจากปีที่ผ่านมาคือ Facebook ซึ่งมูลค่าแบรนด์พุ่งสูงขึ้นถึง 44% ขณะที่ไอบีเอ็มมีผลงานไม่ดีนัก โดยมูลค่าแบรนด์ลดลง 17% จากรายชื่อแบรนด์ทั่วโลกมากกว่า200 แบรนด์เราจัดอันดับโดยประเมินจากตัวเลขกำไร อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ และบทบาทของแบรนด์ในแต่ละภาคธุรกิจ (ตัวอย่างเช่น มีบทบาทสำคัญในธุรกิจสินค้าหรูแต่ไม่โดดเด่นในภาคอุตสาหกรรมการผลิต)</h2>

<hr />

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/eeb6760b1eebe98d64083424fed3c500.png" alt="" />
1. Apple
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 1.54 แสนล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 6%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/cd8ce95643988393d26e4426f68c5642.png" alt="" />
2. Google (Alphabet)
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 8.25 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 26%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8a87b72d1d01ee0929c0a8d4026ac6de.png" alt="" />
3. Microsoft
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 7.52 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 9%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bb5860042c5cafb389673133ca18c950.png" alt="" />
4. Coca-Cola
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 5.85 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 4%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/662a75d78aa3f2e939f26957c12874b6.png" alt="" />
5. Facebook
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 5.26 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 44%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e895fb9681e3191ce22f4bb7e09a4de8.png" alt="" />
6. Toyota
ญี่ปุ่น
มูลค่าแบรนด์: 4.21 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 11%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/45313174b001c11c3f4286fca980a55b.png" alt="" />
7. IBM
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 4.14 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –17%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/535173ad6327ed42cfa66367a5c9a4df.png" alt="" />
8. Disney
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.95 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 14%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/820f94dc3cdee03f050fd6af08ad9ea1.png" alt="" />
9. McDonald’s
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.91 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –1%

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bcee3f0ca4708093ccb07a57d1b76284.png" alt="" />
10. GE
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.67 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –2%

11. SAMSUNG
เกาหลี
มูลค่าแบรนด์: 3.61 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –5%

12. AMAZON
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.52 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 25%

13. AT&amp;T
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 3.26 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 12%

14.BMW
เยอรมนี
มูลค่าแบรนด์: 2.88 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 4%

15. CISCO
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.84 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 3%

16. ORACLE
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.8 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 4%

17. INTEL
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.77 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 7%

18. NIKE
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.75 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 5%

19. LOUIS VUITTON (คริสเตียน ดิออร์)
ฝรั่งเศส

มูลค่าแบรนด์: 2.73 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –3%

20. Mercedes-Benz (Daimler)
เยอรมนี
มูลค่าแบรนด์: 2.6 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 16%

21. Verizon
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.58 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 5%

22. Wal-mart
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.54 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 3%

23. HONDA
ญี่ปุ่น
มูลค่าแบรนด์: 2.52 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 8%

24. American Express
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.43 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 4%

25. BUDWEISER
(Anheuser-Busch InBev)
เบลเยียม
มูลค่าแบรนด์: 2.34 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 5%

26. MARLBORO
(Philip Morris Int’l &amp; Altria)
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.19 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 11%

27. SAP
เยอรมนี
มูลค่าแบรนด์: 2.16 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 10%

28. GILLETTE
(Procter &amp; Gamble)
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 2.02 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: –1%

29. PEPSI
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 1.94 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 3%

30. VISA
สหรัฐฯ
มูลค่าแบรนด์: 1.92 หมื่นล้านเหรียญ
อัตราเปลี่ยนแปลงใน 1 ปี: 2%

<hr />

<a href="http://goo.gl/fFO1hE">คลิ๊กอ่าน "100 แบรนด์มูลค่าสูงสุดของโลก" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ JULY 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/fFO1hE"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6ef061c9479ff04c8771ed25445ed78a.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events