<h2>บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมด้วย บริษัท โพลีเทคโนโลยี จำกัด, Greenlots, เซ็นทรัลกรุ๊ป และบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งประวัติการณ์ เพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาและการรับรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในประเทศไทย</h2>
“การเปิดตัว ChargeNow ในประเทศไทย คืออีกก้าวอันสำคัญยิ่งของการดำเนินภารกิจตามวิสัยทัศน์เพื่ออนาคตอันยั่งยืนอย่างแท้จริง ด้วยการนำเสนอบริการที่อำนวยความสะดวกและทำให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องไม่ยุ่งยาก เรามุ่งหวังที่จะจุดประกายความสนใจในยานยนต์แห่งอนาคตในหมู่ผู้ใช้งานชาวไทยโดยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง” Stefan Teuchert ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าว

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/143f3e6aed7d7f7285b05dfc1cfb0153.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> Stefan Teuchert ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย</figcaption></figure>

ด้าน ณรัตน์ไชย หลีระพันธ์ ประธาน บริษัท โพลีเทคโนโลยี จำกัด กล่าวเพิ่มเติมถึงเครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ที่เรียกว่า “ChargeNow” ที่สามารถชาร์จไฟได้ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อใดหรือรุ่นใด  มากกว่า 65,000 แห่งใน 27 ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย ChargeNow  มีแผนเตรียมเปิดบริการสถานีชาร์จไฟฟ้า 50 สถานีทั่วประเทศ และจับมือพันธมิตรจากประเทศสิงคโปร์ Greenlots ผู้นำด้านเทคโนโลยีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานแบบเปิดแพลตฟอร์ม cloud-based และแอพพลิเคชั่นบนมือถือ โดย Greenlots ได้ติดตั้งสถานีชาร์จมาแล้วถึง 150 สถานีใน 70 แห่งทั่วประเทศสิงคโปร์

“เรายินดีที่ได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรต่างๆ ที่เห็นความสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน และร่วมกันสร้างสรรค์สังคมแห่งยนตรกรรมไฟฟ้าที่จะมาถึงในไม่กี่ปีข้างหน้านี้” ณรัตน์ไชย หลีระพันธ์ กล่าว

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/45c644976e47c603ad37ce0817b74132.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ณรัตน์ไชย หลีระพันธ์ ประธาน บริษัท โพลีเทคโนโลยี จำกัด (กลาง)</figcaption></figure>

นอกจากนี้  ChargeNow  ยังได้พันธมิตรสำคัญ คือ เซ็นทรัลกรุ๊ป และ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โดย อิศเรศ จิราธิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (จำกัด) มหาชน กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรริเริ่มโครงการ ChargeNow ที่ตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย นำร่องใน 13 แห่งแรกทั่วประเทศ ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัล เอ็มบาสซี เซ็นทรัล ชิดลม เซ็นทรัลพลาซา เซ็นทรัลเฟสติวัล และโรบินสัน”

ทางด้านตัวแทน บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) วิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมถึงการเข้าร่วมโครงการว่า “ChargeNow เป็นมุมใหม่ของการใช้ชีวิตอันทันสมัยในสังคมของยานยนต์ไฟฟ้าที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างแท้จริง เรายินดีที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรผู้ริเริ่มโครงการ ChargeNow เพื่อนำไปสู่การใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตข้างหน้านี้”

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/fed2be127c5622764bb25e7218c94100.png" alt="" />

ทั้งนี้โครงการ ChargeNow เตรียมเริ่มเปิดรับลงทะเบียนล่วงหน้าสำหรับเจ้าของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าที่มีหัวชาร์จ AC ทั้งแบบ Type 1 และ Type 2 ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดหรือยี่ห้อใด ซึ่งประมาณไตรมาศที่สามของปี 2560 จะมีการชี้แจงถึงรายละเอียดในการลงทะเบียนล่วงหน้า โดย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ลงเงินตั้งต้นราว 20 ล้านบาท ในการริเริ่มโครงการ ChargeNow โดยรูปแบบโมเดลจะใช้การ์ด ChargeNow เพื่อสามารถเข้ารับบริการในสถานีซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ให้บริการและลูกค้าจะได้รับบิลค่าบริการในทุกสิ้นเดือน เช่นเดียวกับบิลค่าบริการโทรศัพท์มือถือ

ด้าน Stefan Teuchert ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยถึงภาพรวมการขายครึ่งปีแรกของปี 2560นี้  BMW Group ทั่วโลกจำหน่ายรถยนต์ 1,220,819 คัน โตราว 5% แบ่งเป็นสัดส่วน อาทิ BMW 1,038,030 คัน รองลงมา MINI เป็น 181,214 คัน และ BMW Motorrad 88,389 คัน  สำหรับการจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศของ BMW GROUP ครึ่งปีแรกนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จำหน่ายรถยนต์จำนวน 4,888 คัน โตราว 33% โดยมีสัดส่วนรถยนต์ BMW ที่ 4,469 คัน โต 38% โดยรถยนต์ประเทศไฟฟ้า iPerfomance จำหน่ายไปแล้ว 611 คัน มีอัตราการเติบโตถึง 427%

ภายในงาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยเปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยู 520d Sport ที่ผลิตในประเทศไทย และยังปรับโปรแกรม BMW Services Inclusive (BSI) และ MINI Service Inclusive (MSI) จากเดิมที่มีเพียงการให้บริการบำรุงรักษาสูงสุด 5 ปี หรือ 100,000 กม. และการรับประกันยาวนาน 5 ปี เพียงอย่างเดียว มาเป็นแพ็คเกจการบริการและการรับประกันรูปแบบใหม่ ทั้งในรูปแบบบริการ Standard, Plus และ Ultimate และสัญญาแบบ 3 ปี หรือ 5 ปี

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/d685fcc374a3ca81905d054f03e40f14.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> ไฟหน้าส่องสว่างตามการหมุนพวงมาลัย</figcaption></figure>

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/1ad8f13777d5d6c2549467d109233ff4.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> หน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว</figcaption></figure>

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/f5e603622469e5db4f10f35f068d529f.png" alt="" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events