<h2>บนเวทีเสวนา “ฮ่องกง วันนี้...และ...อนาคต” จัดโดย FM 100.5 MCOT News Network ร่วมกับ สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ประเด็นสำคัญที่ทุกคนมุ่งประเด็นไปท่ามกลางการชุมนุมทางการเมืองคือ รัฐบาลจีนจะตอบโต้กับโจทย์เกาะฮ่องกงนี้อย่างไร จะมีการปราบปรามอย่างรุนแรงหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ที่จีนจะตัดขาดกับฮ่องกง และหากเป็นเช่นนั้น จีนจะสูญเสียทางเศรษฐกิจหรือไม่</h2>
ต่อประเด็นนี้ <strong>ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม</strong> ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เท้าความย้อนถึงประวัติศาสตร์จีนก่อนว่า ก่อนที่จะถูกปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ จีนเคยผ่านพ้น <strong>“ศตวรรษแห่งความอัปยศ”</strong> จากความพ่ายแพ้ทั้งต่ออังกฤษ โซเวียด กระทั่งญี่ปุ่นซึ่งยุคนั้นจีนถือว่าเป็น ‘คนป่า’ จากที่ห่างไกล และการเสียเกาะฮ่องกงให้กับอังกฤษก็คือสัญลักษณ์ความอัปยศของจีนที่ยังเป็นแผลลึกถึงวันนี้

หลังจากการเปิดประเทศทางเศรษฐกิจตามนโยบายของ <strong>Deng Xiaoping</strong> โดยใช้หลักการปกครองแบบ <strong>“1 ประเทศ 2 ระบบ”</strong> ประธานาธิบดี Deng ได้มองวิสัยทัศน์ประเทศจีนในปี 2049 ซึ่งเป็นปีครบรอบ 100 ปี สาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ ในปีนั้นเติ้งมองว่าจีนจะต้องบรรลุเป้าหมาย 3 ประการคือ ทันสมัย เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และเป็น “จีนเดียว”

สองประการแรกนั้นคงไม่มีผู้ใดคัดค้านได้ว่าจีนทำสำเร็จแล้ว แต่การรวมประเทศให้เป็นจีนเดียวนั้นยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ยกตัวอย่างเช่นการรวมเอาทิเบตและมณฑล Xinjiang มาอยู่ในจีนผ่านการตัดถนน สร้างทางรถไฟ และลงทุนการค้า ซึ่งได้นำกลยุทธ์นี้มาใช้กับฮ่องกงด้วยผ่านการสร้างสะพานจูไห่ข้ามจาก Shenzhen และวางตัวฮ่องกงให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจจีนในเขต Greater Bay Area

<figure><img src="https://static.posttoday.com/media/content/2018/10/24/D97F75F10A1E49FBA59343952FFB3442.jpg" alt="5 สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ&quot;สะพานฮ่องกง-มาเก๊า-จูไห่&quot;" width="740" height="493" /><figcaption> สะพานฮ่องกง มาเก๊า จูไห่ (PHOTO CREDIT: โพสต์ทูเดย์)</figcaption></figure>

ดังนั้น จากนโยบายจีนเดียวภายใต้วิธีปกครอง 1 ประเทศ 2 ระบบ ซึ่งหมายถึงการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แต่แบ่งเขตเศรษฐกิจเป็นแบบสังคมนิยมหรือทุนนิยม ผนวกกับการที่ฮ่องกงคือสัญลักษณ์ความพ่ายแพ้ที่จีนได้รับชัยชนะกลับมา<span style="color: #ff0000;"> การที่รัฐบาลจีนจะยอมให้ฮ่องกงมีเอกราชนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าจะยอมถอนกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนออกจากสภา แต่จีนจะไม่ประนีประนอมกับการแบ่งแยกดินแดนโดยเด็ดขาด</span>

<strong>ชัยวัฒน์ วนิชวัฒนะ</strong> นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน เสริมว่า จากมุมมองที่เขารับฟังจากเพื่อนสื่อมวลชนชาวจีน (หมายเหตุ: สื่อมวลชนจีนอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีนทั้งหมด) <span style="color: #008000;">เชื่อว่าวิธีการของรัฐบาลกลางคือจะไม่ใช้ความรุนแรงในการปราบปราม เพราะหากกระทำเช่นนั้นจะทำให้ชาวฮ่องกงต่อต้านมากยิ่งขึ้น ดังนั้นม็อบชุมนุมน่าจะยืดเยื้อต่อไปและรัฐหวังว่าจะอ่อนแรงไปเอง</span>

ส่วนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลกลางจะยังคงให้ฮ่องกงเป็นฮับทางการเงินต่อไป เพียงแต่อาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับในอดีต เพราะปัจจุบันจีนมี ‘ประตู’ ทางเศรษฐกิจมากมายจึงไม่ต้องพึ่งพิงเฉพาะฮ่องกงอีกแล้ว

&nbsp;
<h2>ฮ่องกงไม่มีอำนาจต่อรอง</h2>
ดูเหมือนว่า ความกังวลของเยาวชนฮ่องกงต่อฐานะทางเศรษฐกิจฮ่องกงเทียบกับจีนจะเป็นความจริงไม่มากก็น้อย (อ่าน<a href="https://forbesthailand.com/news/global/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%97%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%ae%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%87-1.html"> กะเทาะเปลือกเบื้องหลัง “การประท้วงฮ่องกง” ฯ ตอน 1 ที่นี่</a>) โดยผศ.ดร.ปิติกล่าวว่า ในเกมการเมืองและเศรษฐกิจยุคนี้ Shenzhen ซึ่งเป็นเมืองท่าของจีนตั้งประจันหน้ากับเกาะฮ่องกง ถูกวางตัวเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและการเงิน ปัจจุบันขนาดตลาดหุ้น Shenzhen มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นฮ่องกงแล้วโดยภาคการเงินคิดเป็น 14.6% ของจีดีพี Shenzhen อีกทั้งความเป็นฮับขนส่งทางเรือของ Shenzhen ก็ได้แซงหน้าฮ่องกงไปเรียบร้อย

หากฮ่องกงจะมีข้อดีกว่า Shenzhen ก็มีเพียงเรื่องระเบียบปฏิบัติของตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นมิตรกับบริษัทต่างชาติและเป็นสากลมากกว่าเท่านั้น

<figure><img src="https://www.newsecuritybeat.org/wp-content/uploads/2016/02/shenzhen-port.jpg" alt="shenzhen-port" width="645" height="448" /><figcaption> ท่าเรือ Shenzhen (PHOTO CREDIT: newsecuritybeat.org)</figcaption></figure>

ดังนั้น ผศ.ดร.ปิติจึงมองว่า <span style="color: #ff0000;">ฮ่องกงมิได้มีประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับจีนมากนัก แต่จีนไม่อาจปล่อยฮ่องกงเป็นอิสระได้เพราะเหตุทางการเมืองดังกล่าว ในทางกลับกัน ฮ่องกงก็ยากที่จะตัดขาดกับจีน เพราะสาธารณูปโภคคือน้ำประปาและไฟฟ้ายังพึ่งพิงจีนถึง 70-80% และจุดอ่อนนี้อาจเป็น ‘ไม้ตาย’ ที่จีนจะใช้หากฮ่องกงขัดขืนไปมากกว่านี้</span>

&nbsp;
<h2>จีน vs ตะวันตก : สามัคคีคือพลัง</h2>
อีกแง่มุมหนึ่งที่เวทีเสวนานี้พูดถึงความเกี่ยวข้องกับการประท้วงฮ่องกง คือเรื่องการแทรกแซงจากชาติตะวันตก โดยแต่เดิมนั้นจีนเผชิญสงครามการค้าที่เปิดศึกโดย<strong> Donald Trump</strong> ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อยู่แล้ว ซึ่ง <strong>วิบูลย์ คูสกุล</strong> อดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้มุมมองว่าสงครามการค้าคือโรคภัยที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อจีนเปิดเสรีทางเศรษฐกิจกลับไม่เกิดเสรีทางการเมืองติดตามมาอย่างที่สหรัฐฯ ตั้งธงไว้ เมื่อความเจริญรุ่งเรืองของจีนเกิดขึ้น สหรัฐฯ จึงมองเรื่องนี้เป็นภัยคุกคาม

<img class="alignnone size-full wp-image-21911" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/เสวนา-ประท้วงฮ่องกง.jpg" alt="" width="800" height="434" />

ด้าน <strong>ทวีสุข ธรรมศักดิ์</strong> นักวิชาการและที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงินและการลงทุน<strong> DTGO คอร์ปอเรชั่น จำกัด</strong> (บริษัทในเครือตระกูลเจียรวนนท์) เสริมว่า เมื่อ Trump โจมตีจีนอย่างหนักทางเศรษฐกิจ และต่อด้วยการลุกฮือของชาวฮ่องกงถึงขนาดมีการชูธงชาติสหรัฐฯ ระหว่างการประท้วงเพื่อแสดงสัญญะว่าเอนเอียงไปสู่โลกตะวันตก สิ่งเหล่านี้สร้างพลวัตรทางการเมืองและเศรษฐกิจ คือทำให้คนจีนในจีนแผ่นดินใหญ่ยิ่งแสดง <strong>“ความรักชาติ”</strong> และสามัคคีกันยิ่งขึ้น

&nbsp;
<h2>หางเลขตกที่ไทยในภาคการท่องเที่ยว</h2>
ปิดท้ายถึงมุมมองของ<strong> สุรวัช อัครมาศ</strong> อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ในแง่มุมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวจากเหตุการณ์ประท้วงฮ่องกง นับว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเยือนไทยในปีนี้ลดลง 3% ทั้งที่ประเทศไทยถือเป็นจุดหมายยอดนิยมของคนจีน แต่ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวฮ่องกงกลับเพิ่มขึ้น

<span style="color: #ff0000;">“เมื่อเกิดปัญหากับฮ่องกง นักท่องเที่ยวจีนที่เคยไปฮ่องกงทำไมไม่เลือกมาเมืองไทยแทน สาเหตุเพราะ ‘ความรักชาติ’ จากการขัดแย้งกับประเทศตะวันตก คนจีนรู้สึกว่าเขาต้องรักษากันเอง ทำให้เขาเลือกไปท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือไปไต้หวัน ซึ่งกระทบกับประเทศไทยแน่นอน”</span> สุรวัชกล่าว

แต่ในอีกแง่หนึ่งนั้น นักท่องเที่ยวฮ่องกงเข้ามามากขึ้นเพราะความเบื่อหน่ายต่อสถานการณ์ในประเทศ และมีความเป็นไปได้ว่าคนฮ่องกงบางส่วนที่มีกำลังทรัพย์จะเลือกย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากในไทย ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกันนั่นเอง

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events