<h2>Jack Wey เผยได้รับแรงบันดาลใจจากไทย ก่อตั้งแบรนด์ GWM ผู้ผลิตรถกระบะ สัญชาติจีน พัฒนาจนกลายเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในกลุ่มรถ MPV และประกาศยอดขายสะสมกว่า 600,000 คันทั่วโลก พร้อมดันพันธกิจ “แบรนด์ที่เดิมพันด้วยนามสกุล ขอปกป้องเกียรติของแบรนด์เหมือนครอบครัว” </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;GWM (Thailand) ยกระดับสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกประเภทพลังงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ภายใต้แนวคิดครอบคลุมทุกการใช้งาน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกพลังงาน สู่การตอบสนองทุกกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยแนวคิดดังกล่าว สะท้อนถึงทิศทางการเติบโตของ GWM ในฐานะแบรนด์ระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน นวัตกรรม และเทคโนโลยียานยนต์อัจฉริยะ ภายใต้การนำของ Jack Wey ประธานและผู้ก่อตั้ง GWM ผู้ผลักดันให้แบรนด์จีนก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับโลกอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่การเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีน ที่มีเครือข่ายที่ครอบคลุมกว่า 170 ประเทศ 400 เมือง และ 700 โชว์รูม พร้อมยอดขายสะสมของแบรนด์ WEY กว่า 600,000 คันทั่วโลก (ข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2025) โดยเฉพาะในกลุ่มรถ MPV ภายใต้ GWM WEY ที่ทำยอดขายได้มากกว่า 10,000 คัน (ข้อมูลล่าสุดเมื่อตุลาคม 2025) จนกลายเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในกลุ่มรถ MPV ของประเทศจีน ชายหนุ่มชาวเป่าติ้ง สู่ผู้นำวงการยานยนต์จีน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jack Wey เกิดเมื่อปี 1964 ที่เมืองเป่าติ้ง มณฑลเหอเป่ย์ ประเทศจีน เติบโตในครอบครัวที่มีพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม ก่อนเริ่มต้นเส้นทางชีวิตจากการทำงานในโรงงานพรม และโรงงานปั๊มน้ำ ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เขาเข้าใจระบบการผลิตอย่างลึกซึ้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jack Wey ได้รับรถคันแรกในชีวิตจากบิดา ในวันเกิดครบรอบ 20 ปีของเขาในปี 1984 ซึ่งเป็นรถลาดามือสองที่นำเข้าจากสหภาพโซเวียต ตั้งแต่เด็กเขาใฝ่ฝันที่จะเป็นนักแข่งรถ ด้วยรถลาดาคันนั้น เขาได้เรียนรู้เทคนิคการดริฟท์และเริ่มแสดงความสามารถให้ประจักษ์ในบ้านเกิดของเขาที่เมืองเป่าติ้ง ทักษะการขับขี่ของเขาทำให้ได้รับฉายาว่า “The Car God of Baoding” หรือ "เทพแห่งรถ เมืองเป่าติ้ง" <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/11/zTqXGpgKw6JJSw9ey36v.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="720px,480px" data-align="center" data-file-name="zTqXGpgKw6JJSw9ey36v.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,480" data-origin="720px,480px" style="width: 720px; height: 480px; transform: rotate(0deg);" data-index="0"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div>Jack Wey</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 1990 ขณะอายุ 26 ปี เขาเข้ามาบริหารกิจการ Great Wall Automobile Industry Company ซึ่งในขณะนั้นมีพนักงาน 60 คน และบริษัทกำลังเผชิญภาวะขาดทุน แต่ด้วยความมุ่งมั่นเขาได้พลิกฟื้นองค์กรให้กลับมาทำกำไรได้ภายในเวลาไม่กี่ปี&nbsp; &nbsp; ต่อมาปี 1996 เริ่มผลิตรถกระบะรุ่น Deer เข้าสู่ตลาดจีนอย่างเป็นทางการ ก่อนจะก่อตั้ง Great Wall Group Co., Ltd. ในปี 1998 พร้อมประกาศปรัชญาองค์กรที่กลายเป็นหัวใจของ GWM ว่า “Improving little by little every day.” จุดเริ่มต้นจากแรงบันดาลใจในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิต เกิดขึ้นราวปี 1995 เมื่อ Jack Wey เดินทางมาประเทศไทย และเห็นว่ารถกระบะ คือหัวใจของวิถีชีวิตคนไทย รถหนึ่งคันสามารถใช้ได้ทั้งบรรทุกสินค้า ทำธุรกิจ หรือเป็นพาหนะของครอบครัว ภาพนั้นได้จุดประกายความคิดให้เขากลับไปพัฒนารถกระบะที่ “แข็งแรง สมบุกสมบัน และใช้งานได้จริง” สำหรับคนจีน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แรงบันดาลใจจากประเทศไทย จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ Great Wall Deer รถกระบะรุ่นแรกของ GWM ที่เปิดตัวในปี 1998 และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม กลายเป็นรถกระบะยอดนิยมในประเทศจีน และเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ชื่อของ GWM เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับประเทศ การเติบโตสู่เวทีโลก &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากความสำเร็จของ Deer, Jack Wey ต่อยอดด้วยการเปิดตัวแบรนด์ HAVAL SUV ในปี 2002 ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม และได้รับรางวัลด้านความปลอดภัยจาก Euro NCAP ระดับ 4 ดาว ปี 2003 GWM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (H-share) ตามด้วยตลาดหุ้นจีน (A-share) ในปี 2011ขณะที่บริษัทได้เปิดตัวรถ SUV รุ่นเรือธง คือ HAVAL H6 ดีไซน์สวยงามและสมรรถนะสูง สามารถครองใจตลาดจีนได้ทันที จนกลายเป็นรถ SUV ขายดีอันดับหนึ่งของจีนติดต่อกันถึง 108 เดือน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากความสำเร็จนี้ แบรนด์ HAVAL ได้แยกตัวออกมาเป็นอิสระอย่างเต็มรูปแบบในปี 2013 และยังคงขยายการเติบโตในตลาดโลกอย่างต่อเนื่องด้วยรุ่น H7 และ F Series รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์กับ BMW Group ภายในปี 2019 GWM มียอดขายสะสมทั่วโลกกว่า 5 ล้านคัน และก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถ SUV และกระบะที่ใหญ่ที่สุดของจีน ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 70,000 คน โรงงานผลิตครบวงจร 13 แห่ง และศูนย์วิจัยและพัฒนาในกว่า 10 เมือง ใน 7 ประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เดือนมกราคม 2025 GWM ขยายเครือข่ายครอบคลุมกว่า 170 ประเทศ 400 เมือง และ 700 โชว์รูมทั่วโลก พร้อมยอดขายสะสมของแบรนด์ WEY กว่า 600,000 คันทั่วโลก ล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 GWM WEY ทำยอดขายได้ถึง 12,699 คัน โดยเฉพาะในกลุ่มรถ MPV ที่ทำยอดขายได้มากกว่า 10,000 คัน จนกลายเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในกลุ่มรถ MPV ของประเทศจีน WEY - แบรนด์ลักชัวรีสะท้อนชื่อผู้ก่อตั้ง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แบรนด์ WEY ถือกำเนิดขึ้นในปี 2018 และตั้งชื่อตามนามสกุลของผู้ก่อตั้ง “Wey” ซึ่งทำให้ WEY กลายเป็น แบรนด์ยานยนต์จีนระดับหรูแบรนด์แรก และเป็นแบรนด์แรกที่ใช้ชื่อของผู้ก่อตั้งเป็นชื่อแบรนด์ สะท้อนถึง “เกียรติยศ ความรับผิดชอบ และความเชื่อมั่น” ของ Jack Wey ที่มีต่อคุณภาพและนวัตกรรมของยานยนต์จีน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตั้งแต่เริ่มต้น WEY ยึดพันธกิจ “ทำให้ความหรูหราเข้าถึงได้” โดย GWM ได้รวบรวมทีมวิจัยและพัฒนากว่า 1,600 คนทั่วโลก ใช้เวลาถึง 4 ปีเต็ม เพื่อสร้างแบรนด์นี้ขึ้นอย่างพิถีพิถัน มุ่งสู่ตลาดรถยนต์พรีเมียมระดับกลางถึงสูง และเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการท้าทายการผูกขาดของแบรนด์ต่างชาติในตลาด SUV หรู &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Jack Wey เคยกล่าวไว้ว่า “นี่คือแบรนด์ที่ผมเดิมพันด้วยนามสกุลของผมเอง และจะปกป้องเกียรติของแบรนด์ เหมือนที่ผมปกป้องเกียรติของครอบครัว” แรงบันดาลใจโลโก้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โลโก้ของ GWM WEY ได้แรงบันดาลใจจาก “เสาธง” หน้าคฤหาสน์ผู้ว่าราชการมณฑลจื้อหลี่ ในเมืองเป่าติ้ง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์กว่า 300 ปี สื่อถึงความมั่นคง ความเป็นผู้นำ และรากฐานที่แข็งแรงของแบรนด์ คำว่า “POATING” ใต้สัญลักษณ์ คือ ชื่อภาษาอังกฤษของเมืองเป่าติ้ง อันเป็นบ้านเกิดของ Jack Wey และสำนักงานใหญ่ของ GWM ดีไซน์ของโลโก้มีความเรียบหรู ทันสมัย และสื่อถึงความจริงใจของแบรนด์ เป็นการผสมผสานระหว่างความสง่างามแบบสากล และรากเหง้าของจีน ภาพ&nbsp;GWM เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/mini-launches-ev-black-edition-e-challenge" alt="MINI เปิดตัวรถ EV รุ่นพิเศษ 'Black Edition E-Challenge' ตอบโจทย์นักซิ่งให้ได้ร่วมแข่งความเร็ว 'MINI Challenge'">MINI เปิดตัวรถ EV รุ่นพิเศษ 'Black Edition E-Challenge' ตอบโจทย์นักซิ่งให้ได้ร่วมแข่งความเร็ว 'MINI Challenge'</a><a target="_blank" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

แรงบันดาลใจจากไทย! ย้อนดูแนวคิด Jack Wey แห่ง GWM สร้างตำนานรถกระบะจีน สู่ยอดขายสะสมกว่า 600,000 คันทั่วโลก

<h2>"เกรท วอลล์ มอเตอร์" จัดงาน “SAWASDEE THAILAND” เปิดตัวแบรนด์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ประกาศบุกตลาดไทยด้วย 3 กลยุทธ์หลัก เอลเลียต จาง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย เผยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้กับผู้บริโภค</h2>
เอลเลียต จาง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย เผยว่าตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในตลาดประเทศจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดรถเอสยูวีและรถกระบะ มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกโดยการ สร้าง DNA ของผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นจนได้รับการยอมรับจากผู้ใช้เกือบ 10 ล้านคนทั่วโลก

“เราไม่เพียงแต่มุ่งมั่นที่จะผลิตและส่งมอบรถยนต์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค แต่ยังใส่ใจในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านยานยนต์ไฟฟ้าอันล้ำสมัย เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ให้พร้อมขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืน และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้คนทั่วโลกผ่านทางนวัตกรรม อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G การขับขี่อัตโนมัติและ V2X การพัฒนาแบรนด์เทคโนโลยีทั้ง GWM LEMON, GWM TANK และ GWM COFFEE INTELLIGENCE ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ให้กับผู้บริโภค”

เอลเลียต จาง ยังเสริมว่า “เกรท วอลล์ มอเตอร์ รุกตลาดทั่วโลกด้วยรถยนต์ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ HAVAL, ORA, WEY และ GWM Pick up เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งธุรกิจของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้ขยายไปยังกว่า 60 ประเทศทั่วโลกด้วยกลยุทธ์ Globalization รวมไปถึงการจัดตั้งโรงงานแบบ “12+5" คือ โรงงานผลิตเต็มรูปแบบ 12 แห่งรวมถึงโรงงานล่าสุดของเราที่จังหวัดระยอง ประเทศไทย และมีโรงงานแบบ KD (Knock Down) อีก 5 แห่งนอกประเทศจีน

นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังมีเครือข่ายศูนย์วิจัยและพัฒนาใน 10 แห่งใน 7 ประเทศทั่วโลก ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและความสามารถในการผลิตยานยนต์ ที่ผสานนวัตกรรมและเทคโนโลยีคุณภาพสูง การันตีด้วยยอดขาย 1.11 ล้านคันในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท”

<figure><img class="wp-image-41243 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/3.GWM-Sawasdee-Thailand_-มร.-เอลเลียต-จาง-ประธาน-เกรท-วอลล์-มอเตอร์-ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย-7.jpg" alt="" width="600" height="400" /><figcaption> เอลเลียต จาง ประธาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย</figcaption></figure>

ล่าสุด Great Wall Motors ประสบความสำเร็จในการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ปราศจากโคบอลต์เป็นรายแรกของโลก จากการริเริ่มคิดค้นพัฒนาการผลิตแบตเตอรี่ปริซึมเคลือบลามิเนตความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องจนประสบความสำเร็จ โดยเปิดตัวแบตเตอรี่ที่ปราศจากโคบอลต์ NMX อย่างเป็นทางการในปี 2020 ที่ผ่านมา นับเป็นการตอกย้ำความเป็นเลิศด้านงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ควบคู่ไปกับความยึดมั่นของบริษัทในการคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและการพัฒนาระบบนิเวศของโลกอย่างยั่งยืน

สำหรับประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน Great Wall Motors ได้เริ่มขยายธุรกิจตั้งแต่ในช่วงปีที่ผ่านมา รวมถึงการจัดตั้งโรงงานที่จังหวัดระยองให้เป็น “โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory)” ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

<figure><img class="wp-image-41244 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/4.GWM-Sawasdee-Thailand_-นายณรงค์-สีตลายน-กรรมการผู้จัดการ-เกรท-วอลล์-มอเตอร์-ประเทศไทย-5.jpg" alt="" width="600" height="400" /><figcaption> ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการเกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย</figcaption></figure>

ด้าน ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเทศไทย เผยว่า “ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับทุกธุรกิจ แต่ในความท้าทายนั้นยังมีโอกาสอีกมากมายที่จะเติบโต เราให้ความสำคัญกับการรับฟังเสียงของประชาชนชาวไทย เรามีการสำรวจความคิดเห็น เก็บข้อมูลความต้องการของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด เพื่อออกแบบแผนการดำเนินธุรกิจรวมถึงรูปแบบการให้บริการที่ตอบโจทย์และตรงตามความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งเราจะดำเนินธุรกิจผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก"

โดย 3 กลยุทธ์หลักประกอบไปด้วย

1) xEV Leader การเป็นผู้นำด้านรถพลังงานไฟฟ้า กับ Mission “9 in 3” ที่จะนำรถยนต์รุ่นต่างๆ เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยทั้งหมด 9 รุ่น ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยรถยนต์แทบทั้งหมดจะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่พร้อมสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้เมืองไทยด้วยเทคโนโลยีและสมรรถนะ สร้างนิยามใหม่ของความสนุกและคุ้มค่าในการขับขี่เพื่ออนาคต

2) Consumer Voice Focus การรับฟังเสียงของผู้บริโภค เราให้ความสำคัญเรื่องการรับฟังเสียงของผู้บริโภคชาวไทยมาตั้งแต่การเริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย อีกทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้ผู้ผลิตสามารถรับฟังเสียงที่แท้จริงจากผู้บริโภคได้โดยตรงและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และใช้กลยุทธ์การรับฟังเสียงของลูกค้าเป็นหลักในการวางแผนธุรกิจ และนำมากำหนดแนวทางการทำการตลาดและการให้บริการ เพื่อนำไปพัฒนา ปรับปรุง และยกระดับการให้บริการในทุกมิติ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยให้ดีที่สุด

3) New User Experience การสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า โดยนำเสียงของผู้บริโภคและคำแนะนำต่างๆ มาทำ New User Experience Concept ผ่านขบวนการ Design Thinking เพื่อออกแบบประสบการณ์ใหม่ของผู้บริโภคที่จะเริ่มต้นตั้งแต่ การค้นหาข้อมูล การเปรียบเทียบรุ่นรถ การทดสอบรถ การเลือกซื้อรถ การขอสินเชื่อ การส่งมอบรถ การบริการ และการสร้างความสุขตลอดการเป็นเจ้าของรถผ่านกิจกรรมต่างๆ แบบ O2O (Online-To-Offline) และประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกในโลกที่จะนำ New User Experience นี้เข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผู้บริโภค

โดย New User Experience ถูกสร้างบนความเชื่อ 3 ข้อ คือ 1) Best Choice: ลูกค้าต้องเป็นผู้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ด้วยตัวเอง 2) Transparency: ลูกค้าต้องการการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา และ 3) Happiness &amp; Loyalty : ลูกค้าจะต้องมีความสุขและประสบการณ์ที่ดีกับแบรนด์ตลอดการเป็นเจ้าของ และพร้อมที่จะส่งมอบความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วยการบอกต่อ

อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของงานนี้ คือการเปิดตัวรถยนต์ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยประเดิมด้วยรุ่นยอดนิยมที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากจากผู้บริโภคชาวไทยอย่าง All New HAVAL H6 จากแบรนด์รถเอสยูวี HAVAL และ ORA Good Cat จากแบรนด์รถไฟฟ้า ORA  และนอกเหนือจาก 2 รุ่นนี้แล้ว เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะมีการนำรถยนต์อีก 2 รุ่น จากทั้ง 2 แบรนด์ ให้แฟนๆ ชาวไทยได้สัมผัสและยลโฉมกันภายในปีนี้เช่นกัน

<img class="alignnone size-full wp-image-41245" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/5.GWM-Sawasdee-Thailand_Coming-in-2021.jpg" alt="" width="600" height="338" />

ณรงค์ สีตลายน ยังได้กล่าวปิดท้ายด้วยการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่น จริงจัง และจริงใจ ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในการนำเสนอ การส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดให้กับคนไทย รวมไปถึงความพร้อมในการเข้ามา สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างมีศักยภาพในฐานะ “บริษัทที่ให้บริการการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีระดับโลก (Global Mobility Technology Company)”

เกรท วอลล์ มอเตอร์ มุ่งมั่นที่จะส่งมอบยานยนต์ และเทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมประสบการณ์การขับขี่ เหนือระดับให้กับผู้บริโภคชาวไทย  และพร้อมที่จะช่วยผลักดันการสร้างอีโคซิสเต็มของรถยนต์ไฟฟ้าในไทย รวมไปถึงการพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ และศักยภาพของบุคลากรไทย ควบคู่ไปกับการยกระดับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไกลและเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%e0%b8%aa%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b9%80%e0%b8%ae%e0%b8%a5%e0%b8%97%e0%b9%8c-%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b9%8a%e0%b8%9b-%e0%b8%87%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%a2.html">“สยามเฮลท์ กรุ๊ป” งัดกลยุทธ์ชุดใหญ่ฝ่าวิกฤตโควิด</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

"เกรท วอลล์ มอเตอร์" เปิดตัวแบรนด์ในไทยอย่างเป็นทางการ

<h2>Baidu ผู้ให้บริการเสิร์ชเอนจินรายใหญ่ของจีน และผู้นำด้านเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้า ประกาศเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าร่วมกับ Zhejiang Geely Holding Group บริษัทเอกชนผู้ผลิตรถที่ใหญ่ที่สุดของจีน</h2>
<figure><img class="wp-image-40220" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/01/li-shifu.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> (ซ้าย) Li Shufu ประธาน Zhejiang Geely Holding Group Co., (ขวา) Robin Li ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Baidu</figcaption></figure>

การผนึกกำลังกันครั้งนี้จึงนับเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งของจีนอย่าง Robin Li ซีอีโอ Baidu และ Li Shifu ประธาน Geely โดยในที่นี้ Baidu จะรับผิดชอบด้านการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ขณะที่ Geely รับหน้าที่ออกแบบและผลิตยานยนต์

“ที่ <a style="color: #993300;" href="https://www.baidu.com">Baidu</a> เรามีความเชื่อมั่นในอนาคตของรถยนต์ขับเคลื่อนอัจฉริยะ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราได้ลงทุนเป็นจำนวนมากใน AI เพื่อเตรียมความพร้อมในการก่อตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับแนวหน้าของโลก” Li กล่าวพร้อมเสริมว่า “ปัจจุบัน จีนเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และในอนาคต เราพร้อมที่จะเดินหน้าพัฒนายานยนต์รุ่นต่อไปให้มีศักยภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น”

“ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน Geely มีทักษะ ประสบการณ์ และศักยภาพในการออกแบบและผลิตยานยนต์ที่น่าเชื่อถือ ทั้งยังประหยัดพลังงานและปลอดภัย เราจึงเชื่อว่าการผนวกความชำนาญของ Baidu ในด้านซอฟแวร์ขับเคลื่อนอัจฉริยะเข้ากับความชำนาญของ Geely ในด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า  จะนำมาซึ่งประสบการณ์ใหม่ด้านเทคโนโลยีการขนส่ง” Li กล่าว

ในที่นี้ Baidu ระบุว่า บริษัทใหม่แห่งนี้จะปฏิบัติงานในฐานะบริษัทลูกของ Baidu และดูแลสายพานการผลิต ตั้งแต่การออกแบบยานยนต์ การวิจัย ไปจนถึงการพัฒนา การผลิต การขาย และการให้บริการ

โดยหลังจากการรายงานข่าวความร่วมมือครั้งนี้ มูลค่าหุ้นของบริษัท Baidu ที่จดทะเบียนอยู่ในดัชนี Nasdaq ปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 15.6 สร้างประวัติศาสตร์ในรอบ 2 ปีครึ่ง แตะที่มูลค่า 240.25 เหรียญสหรัฐ

ขณะที่หุ้นของ Geely Automobile Holdings ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงปรับตัวสูงขึ้นราวร้อยละ 19.6 แตะมูลค่าสูงสุดที่ 33.25 เหรียญฮ่องกง ทั้งนี้ ทาง Geely Automoblie Holdings ได้แถลงเพิ่มเติมว่า บริษัทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสัญญาร่วมกับ Baidu โดยปัจจุบัน Geely Holding มีสัดส่วนอยู่ใน Geely Automobile ร้อยละ 40.9 และในขณะเดียวกัน Li Shifu ประธาน Geely ก็ดำรงตำแหน่งประธานค่ายรถยนต์ Volvo Car Group เช่นกัน

จีน เป็นประเทศที่มีตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปีนี้เศรษฐกิจของประเทศได้รับการฟื้นฟูจากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังจะเห็นได้จากมูลค่าหุ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเฉพาะรถพลังงานไฟฟ้าที่ค่อยๆ เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ล่าสุด Li ประธาน Geely ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิราว 2.4 หมื่นล้านเหรียญ ขณะที่มูลค่าทรัพย์สินของ Robin Li ซีอีโอและภรรยา Melissa Ma ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหาร Baidu อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านเหรียญ จากการประเมินของ Forbes ณ วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2021

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ China Internet Heavyweight Baidu Confirms Plan To Enter EV Market With Geely เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/world/america/apple-เตรียมเผยโฉม-titan-โปรเจ็กต.html">Apple เตรียมเผยโฉม Titan โปรเจ็กต์รถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2024</a>

Baidu จับมือ Geely พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

<h2 class="p1">Elon Musk ซีอีโอ Tesla กำลังมุ่งหน้าขยายกิจการของบริษัทไปทั่วโลก หลังขีดเส้นเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนแล้ว</h2>
โดยบริษัทจากสหรัฐอเมริการายนี้กล่าวกับนักลงทุนเมื่อวันพุธที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า Gigafactory หรือโรงงานผลิตแบตเตอรี่พลังงานสูงของ Tesla ใน Shanghai ได้เริ่มทดลองการผลิต “ก่อนกำหนด” แล้วในเดือนนี้ และกำลังจะสร้าง “ยานยนต์อย่างเต็มรูปแบบ”
Musk กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า บริษัทยังวางแผนประกาศสถานที่สร้างโรงงาน Gigafactory แห่งถัดไปในยุโรปภายในปลายปีนี้ด้วย
การเดินหน้าขยายธุรกิจนี้แสดงให้เห็นว่าโรงงานผลิตในต่างประเทศน่าจะมีความสำคัญต่ออนาคตของ Tesla เพราะจะช่วยให้บริษัทเข้าถึงตลาดรถยนต์หลักๆ ของโลกอย่างจีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ง่ายขึ้น มีโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ มากกว่า 10 ล้านราย โดยความสำเร็จในจีนและที่อื่นๆ ของบริษัทจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายในการส่งมอบรถพร้อมกับการเติบโตของบริษัท
สำหรับโรงงานใน Shanghai นั้นเรียกได้ว่าสร้างได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง โดยใช้ระยะเวลาในการสร้างเพียง 10 เดือนเท่านั้น และในจดหมายที่ส่งถึงผู้ถือหุ้น บริษัทระบุว่า โรงงานแห่งนี้ใช้งบประมาณน้อยกว่าโรงงานผลิตรถรุ่น Model 3 ในสหรัฐฯ ราว 65%
“นอกจากนี้ เรายังปรับปรุงขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการใช้เงินทุนเพื่อไลน์การผลิตใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” จดหมายถึงผู้ถือหุ้นระบุ
Musk กล่าวเป็นนัยอีกว่า โรงงานใน Shanghai นี้อาจกลายเป็นสิ่งที่ new normal สำหรับบริษัท โดยเขาเรียกมันว่า “ต้นแบบแห่งการเติบโตของอนาคต”


<figure><img class="size-full wp-image-23095" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/tesla02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> โรงงานผลิตแบตเตอรี่พลังงานสูง Gigafactory ในประเทศจีน (ภาพจาก AFP)</figcaption></figure>
ขณะที่นักลงทุนต่างสนับสนุนความคืบหน้าของ Tesla เมื่อหุ้นที่ลดลงมากกว่า 23% ในปีนี้ แต่ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 รวมถึงผลกำไรที่เหนือความคาดหมาย ได้ส่งให้หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 20% ในไม่กี่ชั่วโมงหลังข่าวนี้ออกมาเมื่อวันพุธ
“ผมรู้สึกประทับใจมาก” Tu Le ผู้ก่อตั้ง Sino Auto Insights บริษัทที่ปรึกษาจาก Beijing ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงงานของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ใน Shanghai กล่าว “การอยู่ในจีน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เร็วนัก”
ทั้งนี้ บริษัทไม่ได้สร้างโรงงานนี้โดยปราศจากความช่วยเหลือ Le ชี้ให้เห็นว่าบริษัทได้แรงหนุนสำคัญจากรัฐบาลจีนเมื่อปีก่อน โดยถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติรายแรกที่ได้รับอนุญาตให้เปิดโรงงานในประเทศโดยไม่ต้องมีพาร์ทเนอร์จีนได้ และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้รับการลดหย่อนภาษีในรถยนต์บางรุ่นด้วย
หากทั้งหมดเป็นไปตามแผนที่วางไว้ Musk กล่าวว่าโรงงานใน Shanghai จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ให้บริษัทเพิ่มเป็นสามเท่า โดยคาดว่ารุ่นที่ขายดีที่สุดจะเป็น Model 3 และ Model Y ซึ่งเป็นรุ่นที่มีราคาถูกกว่ารถเอสยูวีรุ่น Model X ซึ่งกำลังจะออกสู่ตลาด

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/motoring/tesla-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b9%88%e0%b8%87%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%9a-model-3-%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%88.html">Tesla เริ่มส่งมอบ Model 3 ในจีนก่อนกำหนด หวังเร่งชิงตลาดรถยนต์ไฟฟ้า</a></li>
</ul>
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ยังระบุอีกว่า ในช่วงเริ่มต้นนี้บริษัทตั้งเป้าว่าโรงงานใน Shanghai จะสามารถผลิตรถยนต์ได้ 2.5 แสนคัน/ปี ก่อนเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนคันในอนาคต ซึ่งถือเป็นข่าวที่น่ายินดีต้อนรับไตรมาส 4 ของบริษัทที่ยังมีคำสั่งซื้อคงค้างอยู่
“นี่เป็นการทำงานที่ดีสำหรับกลยุทธ์ระยะยาวของ Elon Musk” Le กล่าว “เป้าหมายของ Musk สำหรับค่ายรถยนต์นี้คือการปรับเปลี่ยนภาคยานยนต์แบบดั้งเดิมใช่หรือไม่? ซึ่งผมคิดว่าต้องสามารถขายได้ในปริมาณมากเพื่อจะบรรลุสิ่งนั้นได้”
ขณะที่บริษัทนี้กำลังสร้างโมเมนตัมในจีน แต่ความสำเร็จอาจไม่ได้ได้มาโดยง่าย เนื่องจากตลาดรถยนต์ในจีนเรียกได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงภาวะตกต่ำ และการลดลงของยอดซื้อรถยนต์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
Le ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ แม้ Tesla จะเป็นแบรนด์ต่างประเทศที่มีการรับรู้แบรนด์ที่แข็งแกร่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์ท้องถิ่นและผู้เล่นต่างชาติรายอื่นๆ ทำให้บริษัทอาจเปลี่ยนกลยุทธ์ จากเดิมที่ปฏิเสธการโฆษณา และใช้เงินไปกับการพัฒนาโปรดักต์เพื่อให้คุณภาพของสินค้าเป็นเครื่องยืนยัน ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนวิธีการทำตลาด
“ผมคิดว่าพวกเขาจะเริ่มทุ่มเม็ดเงินเพื่อการตลาดในประเทศจีนแล้ว” Le กล่าว
เขายังเตือนอีกว่า แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้ารายนี้จะต้องสร้าง “การเปิดตัวที่ไร้ที่ติ” ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจีนให้ได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า มิเช่นนั้นบริษัทอาจสูญเสียความไว้วางใจจากผู้บริโภค
“จีนเป็นตลาดขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งมีขนาดเล็กกว่า” Le กล่าว “หากเขาทำตลาดในจีนได้ไม่ดี เขาก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของเขาได้”
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2019/10/24/tech/tesla-gigafactory-china-europe/index.html">Tesla has just started making cars in China. Europe could be next</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events