<h2>วิกฤตการระบาดของไวรัสโคโรน่าอาจจะเป็นแค่การอุ่นเครื่องสำหรับประชากรบนโลกนี้ เพราะวิกฤตที่โหดหินกว่ากำลังรอเราอยู่นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ</h2>
คนจำนวนมากยังมองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ถกเถียงในประเด็นที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมพลังงานจากฟอสซิล แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ คือภัยคุกคามความยั่งยืนของมวลมนุษยชาติที่แท้จริง

มลภาวะทางอากาศสร้างผลกระทบกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ มีประชากรโลกราว 7 ล้านคนต้องตายลงไป ถือเป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงเมื่อเทียบกับวิกฤตโรคระบาดที่เกี่ยวข้องการระบบทางเดินหายใจที่ผ่านมาอย่างการระบาดของโรคซาร์ส หรือแม้กระทั่งไวรัสโควิด-19 ก็ตาม

การผลิตกระแสไฟฟ้าในโลกปัจจุบันมีแหล่งพลังงานมาจากฟอสซิลเป็นหลัก สร้างก๊าซเรือนกระจกราว 25% สู่ชั้นบรรยากาศโลก ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรมและระบบการขนส่ง เป็นอีกกลุ่มที่ผลิตก๊าซเรือนกระจกราว 21% และ 14%  ซึ่งการที่จะทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้เปลี่ยนมาใช้งาน <strong>พลังงานทดแทน</strong> เป็นหลักต้องอาศัยกุญแจสำคัญคือแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่สำหรับกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนตามที่เราเข้าใจในหลายปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นจากเงินสนับสนุนจากรัฐบาล แต่ความจำเป็นทางด้านการเงินเหล่านี้ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในยุคปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว เมื่อพลังงานทดแทนเริ่มมีต้นทุนที่ถูกกว่าน้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน และกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมพลังงานในระดับโลก

ปี 2019 มีการนำ พลังงานทดแทน ราว 72% เข้ามาเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้า และการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนบางส่วนได้รับผลตอบแทนสูงถึง 800% ทำให้ถ่านหินจะไม่ใช่เครื่องจักรที่ทำเงินอีกต้องไป จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการสร้างสารพิษและก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น ซึ่งการเข้ามาของพลังงานหมุนเวียนอาจส่งให้โครงสร้างพลังงานของประเทศเปลี่ยนไป รวมไปทิศทางโครงสร้างการใช้พลังงานของโลกเช่นกัน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือประเทศออสเตรเลียที่ถ่านหินเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าของประเทศนี้ รัฐบาลได้ประกาศแนวทางสำคัญในการลดค่าการผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิลและนำพลังงานทดแทนมาใช้ ซึ่งภายในปี 2040 พลังงานกว่า 90% ของประเทศมาจากแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์และแรงลม และจะเป็นพลังงานไฟฟ้าพรีสำหรับประชาชน

อังกฤษเองทำสถิติ ไม่นำถ่านหินมาเป็นพลังงานติดต่อกัน 23 วัน ขณะที่รัฐขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอย่างรัฐ Iowa, Virginia กำลังปรับแผนผังด้านพลังงานโดยมุ่งเป้าในการใช้พลังงานทดแทนเป็นหลัก

ในสหรัฐอมริกา นโยบายของพรรคเดโมแครต เตรียมนำเสนอแผนลดภาวะโลกร้อนพ่วงไปกับแผนการจัดการไวรัสโคโรน่า โดยอาจจะลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ราว 30 ล้านแผงทั่วประเทศ

ขณะที่บริษัทน้ำมันบางแห่งเริ่มลงทุนในแหล่งโซลาร์เซลล์ ซึ่งบางแห่งก็แค่โฆษณาชวนเชื่อ บางแห่งเริ่มเห็นผลกำไรแล้ว

แผนภูมิของโลกพลังงานที่กำลังเปลี่ยนไปนี้ ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องใช้เงินมูลค่ามหาศาล แต่ในความเป็นจริงแล้วราคาดังกล่าวแสนจะคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการเผชิญหน้ากับหายนะจากพลังธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นไฟป่า เฮอริเคน ภัยน้ำท่วม และภัยทางธรรมชาติในรูปแบบอื่นๆ และเงินที่ต้องจ่ายในการเยียวยาจำนวนมหาศาล

ดังนั้นการนำโครงสร้างเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดภายใต้แผนภูมิโครงการด้านพลังงานทดแทนแบบใหม่เป็นจังหวะอันเหมาะสมที่ต้องบอกลาแหล่งพลังงานแบบเดิมๆ ปรับมายด์เซ็ตใหม่ และนำเรื่องการใช้พลังงานทดแทนเข้ามาเป็นภารกิจสำคัญ

<em>เรียงเรียงใหม่จาก In A Post-Pandemic World, Renewable Energy Is The Only Way Forward ที่เผยแพร่บน forbes.com</em>
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/asia/%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1.html">ทรัพย์สินมหาเศรษฐี “พลังงาน” ของไทยเพิ่มขึ้น แม้เศรษฐกิจโลกซบเซา</a></li>
</ul>

<hr />

<article id="post-28930" class="post-28930 post type-post status-publish format-standard has-post-thumbnail hentry category-news category-other tag-covid-19 tag-2543 tag-3025 tag-11235">
<div class="body-content post-content-wrap post-detail">

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</article>&nbsp;

เมื่อโลกหลังการแพร่ระบาดผ่านพ้น "พลังงานทดแทน" คือคำตอบของยุคต่อไป

<h2>มหาเศรษฐีน้ำมัน Phil Anschutz ใส่เกียร์เดินหน้างานใหญ่ครั้งสุดท้าย คือการขยับจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่การค้นหาพลังงานหมุนเวียน แต่เขาทำเพื่อสีเขียวธนบัตร ไม่ใช่เขียวใบไม้ เพราะธุรกิจ กังหันลม ราคา 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ของ Anschutz จะพัดลาภก้อนใหญ่ที่สุดมาให้เขาได้หรือไม่</h2>
ตลอดชีวิตการทำงาน 60 ปี ของ <strong>Phil Anschutz</strong> เขาเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมัน ทางรถไฟ เครือข่ายใยแก้วนำแสงเหมืองทังสเตน โรงภาพยนตร์ แม้กระทั่งบริษัทผลิตแพนเค้ก เขาเป็นเจ้าของทีมฮอกกี้ L.A. Kings ในลีก NHL ถือหุ้น 1 ใน 3 ของทีมบาสเกตบอล Lakers ในลีก NBA และเป็นเจ้าของนาม Staples Center ที่ทั้งสองทีมใช้แข่ง

ไม่เพียงแค่รักธุรกิจที่แปลกไม่เหมือนใคร แต่เขาหมกมุ่นเลย <span style="color: #993300;">“ภรรยาบอกว่าผมเป็นโรคจิต”</span> เขาพูดพลางหัวเราะ Anschutz ชอบน้ำมันดิบเป็นพิเศษเพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของเขาและเชื้อเพลิงฟอสซิลก็เป็นรากฐานที่สร้างทรัพย์สินให้เขาประมาณ 1.15 หมื่นล้านเหรียญ จนได้เข้ามาอยู่ในอันดับ 41 ในทำเนียบ Forbes 400

เขาแกะกล่องซิการ์มวนเล็กของ Swisher Sweets พลางอธิบายคุณสมบัติของที่ดิน 5 แสนเอเคอร์ ซึ่งบริษัทน้ำมันของเขาได้สำรวจในเขตลุ่มแม่น้ำ Powder รัฐ Wyoming ทีมของเขาขุดเจาะพบบ่อน้ำมันในพื้นที่นี้มากพอจะมั่นใจได้ว่าพวกเขานั่งอยู่บนแหล่งที่มีน้ำมันมากกว่าพันล้านบาร์เรล และมันน่าจะทำเงินให้เขาได้มากยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่เขาขายแหล่งอื่นได้ 2.5 พันล้านเหรียญเมื่อปี 2010

เขาเล่าว่า ข้อดีที่สุดของที่ดินผืนนี้คือ มันมีลักษณะ <span style="color: #993300;">“คล้ายนิ้วมือที่สอดสลับกัน”</span> กับที่ดินของพวกบริษัทน้ำมันรายใหญ่กว่า ซึ่งอาจสนใจจะมาขอซื้อ และสอดประสานนิ้วให้ดูเพื่อแสดงให้เห็นภาพโดยยังถือซิการ์ที่เคี้ยวแล้วครึ่งมวนไว้ในมือ

Anschutz วัย 79 ปี ไม่เคยเป็นคนงานที่แท่นเจาะ เขาสูง 5 ฟุต 9 นิ้ว หวีผมเรียบ เขาอธิบายว่าการลงทุนครั้งใหญ่ครั้งต่อไป หรืออาจเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่เกี่ยวกับน้ำมันเลย แต่ Phil Anschutz ราชาแห่งเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังสร้างทุ่งกังหันลมผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา

Anschutz ต้องใช้เงินทุน 5 พันล้านเหรียญเพื่อตั้งกังหันลม 1,000 ตัวสำหรับโครงการผลิตพลังงานจากลม Chokecherry และ Sierra Madre ในไร่ Overland Trail Ranch ขนาด 320,000 เอเคอร์ของเขาใกล้เมือง Rawlins รัฐ Wyoming บวกกับอีก 3 พันล้านเหรียญเพื่อสร้างสายส่งไฟฟ้ากระแสตรงระยะทาง 730 ไมล์เพื่อส่งไฟฟ้า (ซึ่งเพียงพอสำหรับบ้าน 1.8 ล้านหลัง) เข้าสู่เครือข่ายไฟฟ้าของรัฐ California

หลังจาก Anschutz ฝ่าฟันกระบวนการขอใบอนุญาตมาตลอดทศวรรษ การก่อสร้างก็เดินหน้าแล้ว คนงานทำถนนใช้งานยาว 95 ไมล์ และเตรียมพื้นที่พร้อมใช้งาน 115 จุดสำหรับการติดตั้งกังหันลมเฟสแรก ซึ่งจะเริ่มในปี 2020 และเสร็จในปี 2025 Anschutz ควักกระเป๋าตัวเอง 400 ล้านเหรียญเพื่อสนับสนุนเงินทุนก้อนแรกและกำลังมองหาหุ้นส่วนหรือเตรียมกู้เงินมาใช้จ่ายส่วนที่เหลือ แต่อย่าหวังว่าเขาจะยอมให้ใครคุมงานแทน <span style="color: #993300;">“ผมอยากคุมการสร้างโครงการนี้”</span> เขากล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-28284" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/04/ธุรกิจกังหันลม.jpg" alt="" width="463" height="587" />

Anschutz กล่าวว่า งานหนักที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว กระบวนการขอใบอนุญาตตัดจำนวนกังหันลง 1 ใน 4 จากแผนที่เขาวางไว้ โดยในจุดที่ลมแรงที่สุดจะตั้งกังหันได้ 157 ตัวแทนที่จะเป็น 325 ตัว

มีครั้งหนึ่งที่เขาเคยคิดจะขายที่ดินแล้วล้มเลิกโครงการคือ ตอนที่กลุ่มผู้สนับสนุนถ่านหินในฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐ Wyoming ผลักดันกฎหมายใหม่เพื่อเก็บภาษีไฟฟ้าพลังงานลม 0.1 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศ ซึ่งภาษีเล็กน้อยก็มีผลเมื่อคุณวางแผนจะผลิตไฟฟ้า 1.2 หมื่นล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี

Anschutz ทำเงินมหาศาลได้เป็นครั้งแรกในปี 1982 ด้วยการขายกลุ่มบ่อน้ำมันครึ่งหนึ่งในแหล่งน้ำมันที่ชายแดนรัฐ Wyoming-Utah ให้ Mobil Oil ในราคา 500 ล้านเหรียญ (หรือ 1.4 พันล้านเหรียญตามค่าเงินในปัจจุบัน) เขานำเงินไปลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่และทางรถไฟ และสร้างทางรถไฟสาย Southern Pacific ซึ่งต่อมาขายให้ Union Pacific ในปี 1996 ด้วยราคา 5.4 พันล้านเหรียญ ทำให้มูลค่าหุ้นของเขาในบริษัทใหม่เพิ่มเป็นมากกว่า 900 ล้านเหรียญ แต่พลังงานลมคือสิ่งที่เขาคิดไว้แล้ว

เขาขอให้ Bill Miller ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานผู้จัดการใหญ่ในบริษัทน้ำมันของเขาหาที่ดินซึ่งมีลมพัดจัดที่สุดในประเทศ ซึ่งปรากฏว่าเป็นบริเวณไร่ Overland Trail Ranch ในรัฐ Wyoming ที่นี่มีลมพัดผ่านช่องเขาซึ่งเป็นเส้นทาง Overland Trail ที่เหล่าผู้บุกเบิกใช้เดินทางไปยังฝั่งตะวันตก ลมนี้พัดแรงอย่างสม่ำเสมอด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 20 ไมล์ต่อชั่วโมง

Miller กล่าวว่า การทำสิ่งที่คนอื่นที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้คือเรื่องสนุกเขาเล่าถึงท่อส่งน้ำมันที่เขากับ Anschutz สร้างในยุค 1970 จากเมือง Bakersfield รัฐ California ผ่านเมือง Los Angeles ไปจนถึงท่าเรือที่เมือง Long Beach <span style="color: #993300;">“คนอื่นคิดว่าพวกเราโง่แน่ๆ แต่เราก็ทำได้”</span>

จากข้อมูลของบริษัทที่ปรึกษา Wood Mackenzie กำลังการผลิตไฟฟ้าจากลมของอเมริกาจะเพิ่มขึ้น 60% ใน 5 ปีจาก 100,000 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน ซึ่งก็ต้องมีที่ดินตั้งกังหันลม และถ้าอเมริกาจะอุทิศตนเพื่อกำจัดคาร์บอนออกจากแหล่งพลังงาน การใช้พื้นที่ซึ่งมีลมพัดจัดที่สุดและมีคนอาศัยอยู่น้อยที่สุดก็มีเหตุผล “ระบบพลังงานลมไม่ได้มีแค่ในไร่ของเรา แต่ขยายไปทั่วเขตลุ่มแม่น้ำ” Anschutz กล่าว

“ถ้าเราสร้างที่นี่ไม่ได้ ก็สร้างที่ไหนไม่ได้แล้ว”

<em><span style="text-decoration: underline;">เรื่อง: Christopher Helman เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง ภาพ: Jamel Toppin</span></em>

<hr />

<a href="https://bit.ly/38hL0Vu">คลิกอ่านฉบับเต็ม "มหาเศรษฐีน้ำมัน Phil Anschutz ใส่เกียร์เดินหน้างานใหญ่กับธุรกิจ กังหันลม" ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-27443" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/03/COVER-82-MARCH-.jpg" alt="สรพหล นิติกาญจนา" width="301" height="395" />

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events