<h2>นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2568 พบกับบุคคลบนปก “เรืองโรจน์ พูนผล” คิดใหญ่ มองไกล นำ KBTG สู่ Tech Company ระดับโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Cover Story พบกับ “เรืองโรจน์ พูนผล” คิดใหญ่ มองไกล นำ KBTG สู่ Tech Company ระดับโลก - กระทิง แม่ทัพใหญ่ KBTG ตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ “เราต้องการสร้างนวัตกรรมที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก” เปิดเกมรุกด้วยทีมอัจฉริยะของ KBTG สร้างสรรค์นวัตกรรมการเงิน ปฏิวัติวงการธนาคารด้วย AI สู่ Digital Banking Platform ต่อยอดดิจิทัลเทคโนโลยีระดับโลก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/08/RrEXigrWeJ6djH7iwBjk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="RrEXigrWeJ6djH7iwBjk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ The Next Tycoons พบกับ วิจักษณ์ พงษ์เภตรา ขยายอาณาจักร Southern Group - ทายาทคนที่ 2 ของ “บุญชัย พงษ์เภตรา” อดีตสมาชิกวุฒิสภา ผู้เริ่มก่อตั้งธุรกิจโรงเลื่อยแปรรูปไม้หมอนรถไฟที่อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันดำเนินกิจการภายใต้ชื่อเซ้าเทิร์น กรุ๊ป (Southern Group) เพิ่งฉลองครบรอบ 55 ปีเมื่อปลายปี 2567 ด้วยรายได้รวมกว่า 8 พันล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Strategies พบกับ พิภพ โชควัฒนา “นิวซิตี้” ทศวรรษแห่งนวัตกรรม - เมื่อพูดถึงแบรนด์ถุงน่องในประเทศไทย ไม่มีใครไม่รู้จัก “Cherilon” แบรนด์ที่ทรงอิทธิพลบนเรียวขา ที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 6 ทศวรรษ วันนี้ Cherilon ก้าวสู่ยุคที่ 3 นำทัพโดย พิภพ โชควัฒนา ที่กำลังทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วยนวัตกรรมและแพลตฟอร์มออนไลน์สื่อสารในโลกคนรุ่นใหม่​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/08/SsTradDzqruoMMYs6Dst.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="SsTradDzqruoMMYs6Dst.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Power Women พบกับ อลิสา พันธุศักดิ์ คุนผลิน “ทิฟฟานี่” ผลึกสีสันจรัสโลก – พลังความเชื่อมั่นในคุณค่าความหลากหลายและเท่าเทียมเป็นแรงบันดาลใจการสานต่อธุรกิจของครอบครัว ด้วยการพลิกโฉมทิฟฟานี่โชว์ฉลอง 50 ปี พร้อมเดินหน้าเวทีประกวด Miss Tiffany’s Universe และ Miss International Queen ร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทางสังคมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Innovation พบกับ นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์ ปั้น MEDEZE ด้วยสเต็มเซลล์ – สูตินรีแพทย์ผู้นิยามตัวเองว่าเป็นนักนวัตกรรม เป็นผู้นำในการผ่าตัดผ่านกล้องแบบไร้แผล รวมทั้งสนใจศึกษาด้านสเต็มเซลล์กระทั่งก่อตั้งเป็นธุรกิจ และนำทัพบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปี 2567 ตั้งเป้าเป็นผู้นำระดับโลกด้านการฟื้นฟูสภาวะเสื่อมด้วยสเต็มเซลล์ครบวงจรในปี 2569&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Small Giants พบกับ ดุษฎี มีชัย MASTEC เชื่อมโซลูชันวิศวกรรม – การผสมผสานความรู้ด้านวิศวกรรมอุตสาหการและประสบการณ์งานขาย ผนึกกำลังผู้ร่วมก่อตั้งเริ่มต้นธุรกิจนำเข้าและจัดหาผลิตภัณฑ์สำหรับระบบปรับอากาศภายในอาคาร ระบบสุขาภิบาล ระบบป้องกันอัคคีภัย และอุปกรณ์ดับเพลิง สู่โปรเจกต์ด้านนวัตกรรมอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม พร้อมขยายงานบริการทั่วประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/08/Nm3VwmC3LFxdTgkBH7Bd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="Nm3VwmC3LFxdTgkBH7Bd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คอลัมน์ Forbes Life พบกับ มิ้งค์ สระบุรี นักสนุกเกอร์หญิงไทยมือ 1 โลก - รักในสิ่งที่ทำ และทำในสิ่งที่รักคือบันไดสู่ความสำเร็จ แต่ในชีวิตจริง หลายคนไม่ได้เริ่มต้นจากสิ่งที่รัก แต่เริ่มรักในสิ่งที่ทำเพราะเห็นโอกาสและอนาคต เช่นเดียวกับ “มิ้งค์ สระบุรี” นักสนุกเกอร์หญิงไทยมือ 1 ของโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ในคอลัมน์ Dine with the Boss พบกับบทสนทนากับ ธนวิชญ์ หงษ์คู บอสหนุ่มเจน 2 “แพนฟู้ด” และที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี 2568 และ The List พบกับทำเนียบ 30 Under 30 Asia 2025 เน้นคลื่นลูกใหม่และผู้ประกอบการนักสร้างนวัตกรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร่วมอ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจรวมถึงเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2568 และอ่านในรูปแบบ e-magazine ได้ที่ Meb และ Pinto ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/08/dAb1ZpRkLf4CJnTECoCo.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="dAb1ZpRkLf4CJnTECoCo.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> <div style="display:none;"><a href="https://www.dv188indo.com/" rel="dofollow">dv188</a></div>

นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2568 พบกับบุคคลบนปก “เรืองโรจน์ พูนผล” คิดใหญ่ มองไกล นำ KBTG สู่ Tech Company ระดับโลก

<h2>กองทุน Disrupt Health Impact Fund ที่มี "กระทิง พูนผล" เป็นประธาน เดินหน้าเข้าลงทุนใน “Jona” บริษัทสัญชาติอเมริกัน ผู้พัฒนา AI อ่านผลตรวจไมโครไบโอม หรือ จุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกกว่าชุดตรวจทั่วไป ต่อยอดแนวคิดที่ว่าความสมดุลของไมโครไบโอมมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพส่วนต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ โดย AI จะช่วยบ่งบอกความเสี่ยง และเสนอแนะวิธีการดูแลสุขภาพและแนวทางการปรับพฤติกรรม ผ่านการประมวลผลงานวิจัยกว่า 200,000 ฉบับ และมีการอัพเดทงานวิจัย ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอยู่เสมอ หวังผลักดันให้ไมโครไบโอมเข้ามามีบทบาทยิ่งขึ้นในการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการเฟ้นหาแนวทางการรักษารูปแบบใหม่ๆ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500TukTuks และ ORZON Ventures เปิดเผยว่า ไมโครไบโอม หรือ จุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ เป็นศาสตร์ที่มีมานาน และกำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากเริ่มมีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือที่สนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างไมโครไบโอมกับสุขภาพด้านต่างๆ ของมนุษย์ ไม่ได้จำกัดแค่สุขภาพลำไส้ หรือกลุ่มบริการเวลเนส แต่มีการเชื่อมโยงไปถึงระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการย่อยอาหาร ผิวหนัง สมอง ไปจนถึงสุขภาพจิต ทำให้เกิดวิธีการดูแลสุขภาพรูปแบบใหม่ๆ ที่นำมาใช้ประกอบการรักษาได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทเวชภัณฑ์ยาระดับโลกเริ่มมีการคิดค้นพัฒนาในด้านนี้ รวมถึงการที่ US FDA ได้มีการอนุมัติให้นำการปรับสมดุลไมโครไบโอมมาใช้ในการรักษาโรคบางโรคก็ได้แล้ว จึงมองว่าตลาดไมโครไบโอมมีแนวโน้มจะขยายตัวจากการนำมาใช้ทั้งในเชิงเวลเนสและเชิงการแพทย์มากขึ้นในอนาคต​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/k4hPX5DGWojS8guxwPKP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="k4hPX5DGWojS8guxwPKP.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>กระทิง พูนผล</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลการวิจัยตลาด Precedence Research ระบุมูลค่าตลาด AI ในด้านการดูแลสุขภาพทั่วโลกจะพุ่งแตะ 613.81 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2577 เพิ่มขึ้นจาก 36.96 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 โดยเติบโตเฉลี่ย 36.83% ต่อปี หรืออัตราการเติบโตแบบตัวเลขสองหลัก ตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2577&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวเสริมว่า Jona ได้พัฒนานวัตกรรมโดยใช้ AI เข้ามาปลดล็อกข้อจำกัดการอ่านผลตรวจไมโครไบโอม ซึ่งมีความซับซ้อนเพราะลำไส้มนุษย์มีเชื้อจุลินทรีย์ที่หลากหลายกว่าหนึ่งแสนล้านประเภท และยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน อีกทั้งยังมีงานวิจัยใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิธีการอ่านผลควรต้องมีการอัพเดตอยู่เสมอ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/PgSCdF3YVwQdh9WEHPom.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PgSCdF3YVwQdh9WEHPom.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"><figcaption><div>ณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดย Jona ให้บริการชุดตรวจที่ใช้ได้ด้วยตนเองและผ่านคลินิก โดยเป็นชุดตรวจที่ตรวจลึกกว่าแค่แบคทีเรีย แต่ครอบคลุมไปถึงจุลินทรีย์ประเภทอื่นด้วย จึงได้ข้อมูลเชิงลึกกว่าชุดตรวจทั่วไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Jona ยังมีแพลตฟอร์มที่ช่วยประมวลผลข้อมูลและเสนอแนะวิธีการดูแลสุขภาพและแนวทางการปรับพฤติกรรม ด้วยเทคโนโลยี AI ที่สามารถดึงข้อมูลจากงานวิจัยทางการแพทย์กว่า 200,000 เล่มทั่วโลก ทำให้แพทย์อ่านผลตรวจได้แม่นยำยิ่งขึ้น และมีที่มาที่ไปของข้อมูลประกอบ จำแนกตามระดับความน่าเชื่อถือของงานวิจัย ทำให้เกิดการนำไปใช้ได้จริงยิ่งขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/dz9pypdZWiieREs8hjRS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dz9pypdZWiieREs8hjRS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และด้วยนวัตกรรม 'โมเดลจำลองดิจิทัลของไมโครไบโอม' หรือ 'Microbiome Digital Twin' Jona จึงสามารถจำลองผลกระทบที่การปรับเปลี่ยนด้านอาหาร ไลฟ์สไตล์ อาหารเสริม และยารักษาโรคเฉพาะเจาะจงจะมีต่อสุขภาพของผู้ใช้บริการ โดยข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดจะเชื่อมโยงย้อนกลับไปยังงานวิจัยต้นฉบับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การลงทุนครั้งนี้คาดหวังว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไมโครไบโอมจะสร้างแรงขับเคลื่อนให้วงการสุขภาพ เป็นส่วนช่วยในการต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในอุตสาหกรรม และเป็นเครื่องมือในการช่วยปรับพฤติกรรม​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/F7DeFDjQnVqRSPviLm8N.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="F7DeFDjQnVqRSPviLm8N.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านการพัฒนาโมเดล LLM ทาง Jona ได้สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีคณะที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Advisory Board - SAB) ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งด้าน AI แพทย์ นักโภชนาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการยืดอายุ ที่มาร่วมให้คำแนะนำการพัฒนาผลิตภัณฑ์และทบทวนผลลัพธ์จาก AI ช่วยให้โซลูชันของบริษัทอยู่บนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และตอบสนองความต้องการทางคลินิกได้อย่างแท้จริง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร. ลีโอ เกรดี้ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร Jona กล่าวว่า บริษัทยินดีที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุน Disrupt Impact Fund เพื่อบรรลุเป้าหมายการขยายตลาด เร่งเติบโต 10 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดแข็งของ Jona คือการเป็น AI เฉพาะทาง โมเดล AI ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเจาะจงในด้านไมโครไบโอมในลำไส้ ทำให้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของจุลินทรีย์และผลลัพธ์ด้านสุขภาพได้ดีกว่า หวังขยายผลไปทั่วโลกในอนาคต และส่งเสริมให้การตรวจไมโครไบโอมเข้าถึงได้และสร้างคุณประโยชน์ทางการแพทย์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/07/UAdsZG8p4RXPCUzhqap7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="UAdsZG8p4RXPCUzhqap7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4"><figcaption><div>ดร. ลีโอ เกรดี้</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีนโยบายลงทุนระยะแรกประมาณ 17-25 ล้านบาทต่อบริษัท โดยวางแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศภายใน 3 -5 ปีข้างหน้า ภายใต้กลยุทธ์การลงทุน 5 ด้านหลัก ได้แก่ การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง เวชศาสตร์ป้องกันโรค ผู้สูงวัย การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และโรงพยาบาลอัจฉริยะ มุ่งเน้นนวัตกรรมระดับโลกที่ออกสู่ตลาดแล้วหรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคนเพื่อขอรับรองจาก FDA ปัจจุบันกองทุนมีนักลงทุน 7 ราย ซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลที่สนใจธุรกิจ Health &amp; Wellness และยังคงเปิดรับพันธมิตรที่สนใจร่วมลงทุน พร้อมมองหาบริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง ภาพ:&nbsp;กองทุน Disrupt Health Impact Fund

กองทุนของ ‘กระทิง พูนผล’ ขยายลงทุนใน Jona บริษัททำ AI อ่านผลจุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ ผลักดันการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ จับมือกองทุน 500 Startups เปิดตัว "ORZON Ventures" ซึ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เตรียมงบพันล้าน ลงทุนธุรกิจสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน สร้าง New S-Curve ใหม่ต่อยอดธุรกิจโออาร์

<img class="alignnone size-full wp-image-52110" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/ORZON_1003.jpg" alt="" width="600" height="400" />

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่าง PTTOR International Holdings (Singapore) Pte. Ltd. (SGHoldCO) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่โออาร์ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 และ กองทุน 500 Startups หรือ 500 TukTuks จัดตั้งกองทุน ORZON Ventures โดยบริษัทเตรียมงบสนับสนุนระยะแรก 1,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพของไทยให้แข่งขันได้ในระดับสากล

ทั้งนี้ โออาร์ โดย SGHoldCo จะร่วมลงทุนในกองทุน “ออร์ซอน เวนเจอร์ส” (ORZON Ventures, L.P.) โดยมีมูลค่าการลงทุนเริ่มแรก 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และสามารถเพิ่มมูลค่าการลงทุนเป็นไม่เกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแสวงหาและสนับสนุนสตาร์ทอัพหน้าใหม่ ในระดับ Series A-B ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโออาร์ และธุรกิจใหม่ๆ ภายใต้กรอบ Mobility &amp; Lifestyle เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจและสร้างความเติบโตในระยะยาว

“โออาร์มองว่าบริษัทสตาร์ทอัพมีจุดแข็งในด้านศักยภาพการใช้เทคโนโลยี มีความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายอย่าง เช่น การขาดความพร้อมด้านกำลังคน ขาดเงินทุน ขาดการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และระบบนิเวศที่เข้ามาสนับสนุน

โออาร์ เชื่อว่า ศักยภาพความพร้อมของ โออาร์ จะช่วยเติมเต็มและสนับสนุนสตาร์ทอัพ ทั้งในด้านเงินทุน การเข้าถึงฐานลูกค้าและระบบนิเวศขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้บริษัทสตาร์ทอัพให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว และยั่งยืนยิ่งขึ้น” จิราพร กล่าว

สำหรับกองทุน ORZON Ventures มีระยะเวลาการดำเนินการ 10 ปี โดยในช่วง 5 ปีแรก คาดว่าจะสนับสนุนสตาร์ทอัพได้ 20-30 ราย โดยปี 2564 จะสนับสนุนผู้ประกอบการ 1-2 ราย โดยมีวงเงินสนับสนุนไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อราย แต่สามารถเพิ่มวงเงินลงทุนได้ 80-100 ล้านบาทต่อราย ขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละธุรกิจ

ในช่วงที่ผ่านมา โออาร์ได้ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ เช่น บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด หรือการร่วมลงทุนในกลุ่มธุรกิจแฟลช เป็นต้น ซึ่งอยู่ภายใต้แนวคิด Mobility และ Lifestyle

จิราพร กล่าวว่า โออาร์ มีวิถีในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งสร้างความร่วมมือเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันกับทุกภาคส่วน โดยหนึ่งในแนวทางการสร้างความเติบโตทางธุรกิจของโออาร์ คือการเสาะแสวงหาธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะสามารถพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้ก้าวไกลกว่าธุรกิจน้ำมันท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก

โดยโออาร์ ไม่ได้มองหาการร่วมมือเฉพาะกับธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ โออาร์ ให้ความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือกับ ‘คนตัวเล็ก’ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบพันธมิตรทางธุรกิจ หรือการลงทุนใน SMEs หรือบริษัทสตาร์ทอัพ

<img class="alignnone size-full wp-image-52111" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/10/กระทิง-พูนผล.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ด้าน กระทิง พูนผล ผู้บริหารกองทุน 500 TukTuks ซึ่งจะเข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารกองทุนเปิดเผยว่า ในการจัดตั้งกองทุน ORZON Ventures จะทำให้ โออาร์ สามารถเข้าถึงสตาร์ทอัพ ที่อยู่ใน Early Stage ในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้มากขึ้น ผ่านกระบวนการคัดกรองจากทีมผู้บริหารกองทุน 500 TukTuks ซึ่งมีความชำนาญในการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ

โดยสตาร์ทอัพ ที่ ORZON Ventures มองหาจะมีทั้งที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับ โออาร์ และธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ภายใต้กรอบ Mobility &amp; Lifestyle หรือ ธุรกิจที่ตอบโจทย์คนเดินทางในอนาคต (Mobility) และตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกไลฟ์สไตล์ อาทิ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&amp;B) การท่องเที่ยว (Travel) สุขภาพ (Health and Wellness) รวมไปถึง Digital Lifestyle ต่าง ๆ

“ความร่วมมือกับโออาร์จะช่วยผลักดันสตาร์ทอัพไทยให้ก้าวไกลไปในระดับภูมิภาคและระดับโลก เป็นการเสริมสร้าง Ecosystem ไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยนำจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายมารวมกัน ทั้งประสบการณ์การลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ ของกองทุน 500 TukTuks กว่า 6 ปี และการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของโออาร์ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการได้รับเงินทุนสนับสนุน และคอนเนคชั่นที่ดี สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้เกิด Synergy ในรูปแบบใหม่ ที่จะผลักดันสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด” กระทิง กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/ซีพี-ออลล์-จัดสัมมนาเปิด.html">ซีพี ออลล์ จัดสัมมนาเปิดแนวคิด SME รุ่นใหม่หาทางรอดยุคโควิด-19</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โออาร์ ตั้ง “ORZON Ventures” ทุ่มพันล้านลงทุนสตาร์ทอัพ

<h2>500 TukTuks ร่วมรับการลงทุนจากกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ในไทย หวังสร้างการก้าวกระโดดสตาร์ทอัพไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้</h2>
500 TukTuks ได้ กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มธุรกิจ TCP บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) บริษัท วัชรพล จำกัด ในเครือหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด ในกองทุน 500 TukTuks II พร้อมตั้งเป้าลงทุน ใน 150 สตาร์ทอัพ

หลังจากเปิดตัว กองทุน 500 TukTuks ไปเมื่อปี 2558 เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพไทยระดับ seed/pre-series A  โดย 500 TukTuks ได้ร่วมลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพรวม 50 บริษัท ช่วยให้สตาร์ทอัพสามารถระดมทุนในรอบถัดไปได้รวมเกือบ 7,000 ล้านบาท รวมทั้งช่วยสร้างการจ้างงานเกือบ 10,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ กองทุน 500 TukTuks หรือกองแรกมีมูลค่าการลงทุนรวมแล้วราว 400 ล้านบาท

สำหรับใน กองทุน 500 TukTuks II พร้อมตั้งเป้าลงทุน ใน 150 สตาร์ทอัพ ทั้ง Disruptive Digital Startups ในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง Global Deep Tech Startups ที่จะเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างระบบนิเวศน์แห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สมบูรณ์แบบทั้ง Disruptive Digital และ Deep Technology ควบคู่กับการสร้างผลึกพลังกับ กับบริษัทยักษ์ใหญ่ในไทย

โดยมีพันธมิตรชั้นนำระดับโลกจากทั้ง Silicon Valley และเอเชีย เช่น Terra Accelerator บริษัท accelerator ชั้นนำด้าน Food/Bio/AgriTech, SOSV - กองทุน VC ระดับ top 5 ด้าน AI และ Blockchain, Chinaccelerator - กองทุน VC ชั้นนำที่ลงทุนใน tech startups ชั้นนำของจีน, MOX - Mobile Only Accelerator พร้อมดึงกูรูระดับโลกอย่าง Harper Reed อดีต CTO ของ Obama และ กูรูชั้นนำของไทย ด้าน AR/VR, Crypto/Blockchain, Food/BioTech, IoT ร่วมสร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบในประเทศไทย และพร้อมเร่งผลักดันการเติบโตแบบก้าวกระโดดของระบบนิเวศน์สตาร์ทอัพ (startup ecosystem) ของไทย

"กองทุน 500 TukTuks ดีใจและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่บริษัทชั้นนำในเมืองไทย ได้มาร่วมลงทุนในกองทุน 500 TukTuks เพื่อร่วมผลักดันวงการสตาร์ทอัพไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และร่วมสร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สมบูรณ์แบบในประเทศไทยและ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” กระทิง พูนผล ผู้จัดการการกองทุน 500 TukTuks กล่าวและเสริมว่า

ทาง 500 TukTuks คาดว่าจะมีบริษัทสตาร์ทอัพที่บริษัทร่วมลงุทนสามารถ exit ในตอนที่มีมูลค่าถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐราว 6-7 บริษัทในปี 2023

<img style="width: 638px; height: 425px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b384423d0ac3b3a2252d3e0e49a2ae4a.jpg" alt="" width="1568" height="1044" />

ด้าน ดนภัทร พร้อมพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ แผนกการลงทุน กลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า "กลุ่ม Central Group คือ ผู้นำด้าน Retail และ eCommerce และเป้าหมายของเราคือการ Transform เป็น Top Tech Company ภายใต้ยุทธศาสตร์ New Central,  New E-conomy เพื่อเป็นผู้นำด้าน Digi-Lifestyle Platform การลงทุนใน 500 TukTuks นั้นตอบโจทย์เป็นอย่างดีในการช่วยเสริมสร้าง Digi-Lifestyle Innovation Platform ของ Central ผ่านทาง Tech Startups ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Central Group"

ขณะที่ สราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง กระทิงแดง (เรดบูล) กล่าวเสริมว่า “เรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกที่นับวันจะถูก Disrupt รุนแรงและรวดเร็วมากขึ้น การร่วมลงทุนในกองทุน 500 TukTuks ในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมรับมือกับกระแส Disruption ผ่านการทำงานร่วมกับบริษัทสตาร์ทอัพต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรของเราจะสามารถก้าวข้ามวิธีการทำงานแบบเดิม สู่นวัตกรรมใหม่ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีเข้ากับสังคม เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างผลิตภัณฑ์ และบริการให้ดียิ่งขึ้นกับลูกค้าของเรา รวมทั้งยกระดับธุรกิจของเราไปสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบได้เร็วขึ้น”

วิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ที่ทำการลงทุนร่วมกับ 500 TukTuks นั้นเนื่องจากอยากสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่มีแนวความคิดใหม่ ๆ ที่ยั่งยืน และพิสูจน์ได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจโดยรวม”

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events