เจาะเบื้องหลังความพิเศษของ “อาคารแสดงประเทศไทย” พร้อมอวดสายตาชาวโลกในงาน “World Expo 2020 Dubai” - Forbes Thailand

เจาะเบื้องหลังความพิเศษของ “อาคารแสดงประเทศไทย” พร้อมอวดสายตาชาวโลกในงาน “World Expo 2020 Dubai”

วันนี้แล้วที่นานาประเทศจะได้ยลโฉมและรู้จักประเทศไทยมากขึ้นผ่านอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ในงานแสดงนิทรรศการระดับโลก World Expo 2020 Dubai ที่จะมีขึ้น ณ เมืองดูไบ          สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2564-31 มีนาคม 2565 ระยะเวลาทั้งสิ้น 6 เดือน แม้การจัดงานครั้งนี้ จะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายจากสถานการณ์โรคระบาด ที่ทำให้ต้องเลื่อนการจัดงานออกไปถึง 1 ปี แต่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการดำเนินงานก็สามารถข้ามผ่านความท้าทาย ผนึกกำลังกับพันธมิตรจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อจัดเตรียมงานอย่างสุดความสามารถ ในการจัดสร้างอาคารแสดงประเทศไทย ที่สะท้อนความเป็นไทยได้อย่างไร้ที่ติ สมกับที่อาคารแสดงประเทศไทย มักได้รับความนิยมจากบุคคลสำคัญระดับประเทศ รวมถึงบรรดาผู้เข้าชมงานเป็นอันดับต้นๆ ทุกครั้งของการจัดงานจนเสร็จสมบูรณ์ และพร้อมจะต้อนรับผู้เข้าชมงานจากทั่วโลก
ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
สำหรับความพิเศษที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้จะมีอะไรบ้าง ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมแล้วที่จะฉายภาพให้เห็น ก่อนที่งาน World Expo 2020 Dubai จะเปิดฉากอย่างเป็นทางการ หลายคนอาจไม่รู้ว่าประเทศไทยมีโอกาสเข้าร่วมนิทรรศการ World Expo มาแล้วถึง 31 ครั้ง โดยเข้าร่วมครั้งแรกในปี พ.ศ. 2405 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 และยังเป็นประเทศที่ 3 ในภูมิภาคเอเชีย ถัดจากจีนและญี่ปุ่นที่ได้เข้าร่วมงาน World Expo ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุก 5 ปี และยังได้รับการบันทึกให้อยู่ในรายชื่อสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยงานมหกรรมโลก (Bureau of International Exposition - BIE) ในฐานะผู้เข้าร่วมงานที่โดดเด่นต่อเนื่องที่สุดประเทศหนึ่ง มาถึงครั้งนี้ นับว่าเป็นอีกปีที่พิเศษไม่น้อย เพราะเป็นครั้งแรกที่งาน World Expo จะจัดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง ภายใต้แนวคิดหลัก คือ “Connecting Minds, Creating The Future” หรือ "เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” เพื่อสะท้อนถึงการขับเคลื่อนให้เกิดความก้าวหน้า ด้วยการเชื่อมโยงระหว่างผู้คน องค์กร และประเทศต่างๆ รวมถึงแบ่งปันความรู้ความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการร่วมมือกันสร้างสรรค์อนาคตอย่างยั่งยืน โดยจะมี 192 ประเทศที่เข้าร่วม “นอกจากจะเป็นครั้งแรกที่ประเทศเจ้าภาพอยู่ในตะวันออกกลางแล้ว อีกสิ่งที่แตกต่างจากการจัดงานครั้งก่อนๆ คือ การจัดโซนนิ่งของอาคารจัดแสดง ที่ผ่านมาจะแบ่งตามภูมิภาค เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาอาคารแสดงประเทศไทย จะรวมกลุ่มอยู่กับประเทศในเอเชีย แต่ครั้งนี้ เจ้าภาพเปลี่ยนวิธีการจัดโซนนิ่งใหม่ โดยแบ่งตามหัวข้อที่แต่ละประเทศเลือก มี 3 หัวข้อ ได้แก่ โอกาส (Opportunity) การขับเคลื่อน (Mobility) และความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งประเทศไทยเลือกหัวข้อที่ 2 คือ การขับเคลื่อน เพราะต้องการสร้างความตระหนักและความเชื่อมั่นในศักยภาพการพัฒนาด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลในมิติต่างๆ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ว่าได้ที่เลือกหัวข้อนี้ และทำให้อาคารแสดงประเทศไทยในปีนี้ จะขนาบข้างด้วยประเทศในแถบยุโรป อย่างฝรั่งเศสและเบลเยียม” ดร.ณัฐพล กล่าว อวดโฉมความเป็นไทยผ่าน Thailand Pavilion สำหรับแนวคิดในการออกแบบอาคารแสดงประเทศไทย ดร.ณัฐพล ฉายภาพให้เห็นว่า “ปีนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้พื้นที่จัดแสดงใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเข้าร่วมในงาน World Expo (ขนาดพื้นที่ 3,606 ตรม.) โดยได้จัดสร้างอาคารแสดงประเทศไทยภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต (Creating the Future) อาศัยการต่อยอดจุดเด่นของประเทศไทยที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนสุวรรณภูมิ และวัฒนธรรมอันโดดเด่นแบบสยามเมืองยิ้ม สู่ศูนย์กลางการพัฒนาด้านดิจิทัลที่สามารถเชื่อมต่อทุกคนไปยังทุกที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” แนวคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านการออกแบบอาคารแสดงประเทศไทยตั้งแต่ภายนอกอาคาร ที่มีการนำเสน่ห์ของคนไทยมาร้อยเรียงอยู่ในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ดอกรัก ซึ่งเปรียบเสมือนการต้อนรับ    อันอบอุ่นจากคนไทย และยังเป็นสัญลักษณ์เพื่อสื่อถึงการพัฒนาที่แผ่ขยายในวงกว้าง เปรียบเสมือนเกสรดอกไม้ที่แผ่กระจายและส่งต่อการเจริญเติบโตต่อไป การใช้ “สีทอง” เป็นสีหลัก เพื่อแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และแหล่งอารยธรรมของประเทศไทยตั้งแต่ครั้งสุวรรณภูมิ และปัจจุบันสีทองยังเป็นสีที่คนไทยนิยมใช้เป็นสีอาคารและเครื่องยอดต่างๆ เพื่อแสดงถึงความสำคัญของอาคารแห่งนั้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความโดดเด่นให้อาคารด้วยลวดลายการถักทอคล้ายม่านดอกไม้ (ดอกรัก) เพื่อสื่อถึงการเชื่อมต่อ (Connecting Minds) ของคนไทยในยุคดิจิทัล ผสานกับศาลาหน้าจั่ว ซึ่งมีลักษณะคล้ายการไหว้ที่งดงาม และยังสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าชมตั้งแต่แรกเห็น เต็มอิ่มกับความเป็นไทยแบบร่วมสมัย มาถึงภายในอาคารแสดงประเทศไทย ดร.ณัฐพล เผยว่า จัดแบ่งเป็น 4 ห้อง แต่ละห้องมีการนำเทคนิคพิเศษต่างๆ มาเพิ่มความน่าสนใจในการเล่าเรื่อง เริ่มจาก ห้องนิทรรศการที่ 1: Thai Mobility ผ่านความงดงามของศิลปะไทย จัดแสดงในรูปแบบ Walkthrough Exhibition ผู้เข้าชมจะได้พบกับความงดงามตระการตาของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลอง ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือพระที่นั่งในพระราชพิธีกระบวนพยุหยาตราชลมารค และราชรถจำลอง ซึ่งเป็นพาหนะในวรรณคดีไทยที่มีความงดงามอย่างยิ่ง ห้องนิทรรศการที่ 2: Mobility of Life น้ำขับเคลื่อนชีวิตไทย จัดแสดงในรูปแบบ Aquatic Performance สะท้อนภาพประวัติศาสตร์ สังคม ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตจากอดีตสู่ปัจจุบัน ภายใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ด้วยพระอัจฉริยภาพและโครงการในพระราชดำริ ทำให้ประเทศไทยพัฒนากลายเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค และมีความพร้อมที่จะต้อนรับนานาประเทศ ไม่ว่าจะมาท่องเที่ยว ลงทุน หรือทำธุรกิจ ห้องนิทรรศการที่ 3: Mobility for the Future การขับเคลื่อนประเทศในยุคดิจิทัล จัดแสดงในรูปแบบภาพยนตร์แอนิเมชั่น 360 Adventure พาผู้ชมขึ้นโดรน พาหนะแห่งอนาคต เดินทางสู่ภาพอนาคตจำลองของประเทศไทยที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคผ่านมืองอัจฉริยะ (Smart City) ทั้ง 7 มิติ ได้แก่
  • SMART Economy การเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจและการลงทุน
  • SMART Mobility ระบบการขนส่งและการเดินทางที่ทันสมัย
  • SMART People การศึกษาที่เข้าถึงทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล
  • SMART Living การส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
  • SMART Governance การพัฒนาระบบข้อมูลและการให้บริการภาครัฐ
  • SMART Environment การบริหารจัดการทรัพยากร
  • SMART Energy การบริหารจัดการด้านพลังงาน ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อผลักดันตัวเองเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาค
ห้องนิทรรศการที่ 4: Heart of Mobility หัวใจหลักของการขับเคลื่อน จัดแสดงในรูปแบบ “ภาพยนตร์สั้น” โดยใช้เทคนิค Pyramid Motion Picture นำเสนอเรื่องราวเสน่ห์ของประเทศไทยในหลากหลายมิติที่สร้างความประทับใจ ผ่านคำบอกเล่าของชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย ทำธุรกิจ หรือใช้ชีวิต ในประเทศไทย นอกจากการจัดแสดงนิทรรศการภายในอาคารแล้ว ภายนอกอาคารยังมีร้านอาหารไทย “The Taste of Thai” ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมงานสัมผัสเสน่ห์และมนต์ขลังของอาหารไทยยอดนิยม อย่างต้มยำกุ้ง มัสมั่น แกงเขียวหวาน ฯลฯ ที่ปรุงในรสชาติไทยแท้ ซึ่งปีนี้  “ลิตเติ้ล แบงค็อก” (Little Bangkok) ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยยอดนิยมในเมืองดูไบ เป็นผู้คว้าสิทธิ์เป็นผู้บริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าว พร้อมกันนี้ยังสามารถเลือกซื้อสุดยอดสินค้าและผลิตภัณฑ์ของไทยระดับพรีเมียมเป็นของที่ของฝาก ได้ที่ “Thai Souk” บริหารจัดการโดย บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่นส์ จำกัด โดยสินค้าได้ผ่านการคัดเลือกจากโครงการคัดเลือกสุดยอดสินค้าดี สินค้าเด่นของไทย 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์ อาทิ กลุ่มหัตถกรรมฝีมือของคนไทย กลุ่มสุขภาพ สปา และเครื่องสำอาง กลุ่มของที่ระลึก กลุ่มเครื่องประดับ รวมไปถึงกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่ม เพื่อโปรโมทและประชาสัมพันธ์สินค้าที่ดีมีคุณภาพ ได้มาตรฐานระดับสากล   “อีกหนึ่งไฮไลท์ของอาคารแสดงประเทศไทย คือ การจัดเวทีการแสดงหน้าอาคาร เพื่อแสดงโชว์            ศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย 3 ชุดการแสดง ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ภายใต้แนวคิด “Thai Iconic ความเป็นไทยสู่สายตานานาชาติ” ได้แก่ 1.จิตวิญญาณนักสู้ไทย : THAI FIGHTING SPIRIT เป็นการแสดงมวยไทยในรูปแบบ E-sports 2.ทำนองไทย 4 ภาค : THAI RHYTHM การแสดงไทยประยุกต์ที่ผสมผสานประเพณีไทยและการละเล่นไทยทั้ง 4 ภาคเข้ากับมัลติมีเดียล้ำสมัย มีการสลับฉากหลังอันยิ่งใหญ่สุดตระการตา สุดท้าย 3.ไทยวิจิตร : THAI MIRACLE การแสดงความวิจิตรของศิลปะและวัฒนธรรมไทย ผ่านมัลติมีเดียและนักแสดง ด้วยการแสดงโขน ซึ่งถือเป็นสุดยอดศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทย” นอกจากนี้เพื่อให้อาคารแสดงประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างประโยชน์และโอกาสให้กับคนไทยทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ยังมีการจัดนิทรรศการและกิจกรรมพิเศษภายใต้แนวคิด The Best of Thailand เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของประเทศไทย ที่แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ และศักยภาพด้านต่างๆ ของประเทศไทยบนเวทีโลก โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจัดกิจกรรมตลอด 6 เดือน
“รัก” (RAK) และ “มะลิ” (MALI) มาสคอตสองพี่น้องตัวแทนประเทศไทย
โอกาสที่มาพร้อมความท้าทาย ถามว่า การจัดงานใหญ่ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด ต้องเจอกับความท้าทายอะไรบ้าง ดร.ณัฐพล เผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ประเทศเจ้าภาพต้องปรับแผนการดำเนินงาน ตลอดจนกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการด้านสาธารณสุขระดับสากล ซึ่งอาจจะส่งผลต่อจำนวนผู้เข้าร่วมงาน แต่ในส่วนของอาคารแสดงประเทศไทย แม้จะได้รับผลกระทบด้านการก่อสร้างบางส่วน เนื่องจากใช้ทีมงาน      ท้องถิ่นเป็นหลัก และมีวิศวกรชาวไทยปฏิบัติงานต่อเนื่องในยูเออีเป็นผู้ควบคุมงาน แต่ก็ยังได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากพันธมิตร รวมถึงภาคเอกชน เพื่อเติมเต็มความพร้อมของอาคารแสดงประเทศไทยให้สมบูรณ์ในทุกมิติ และพร้อมต้อนรับนานาประเทศที่จะเยี่ยมชมอาคารตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 อย่างไรก็ตาม ดร.ณัฐพล กล่าวว่า แม้จะมีความท้าทาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานระดับโลกนี้ มีข้อดีไม่น้อย เพราะถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้แสดงศักยภาพ และความพร้อมด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศไทย ให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การลงทุน การทำธุรกิจ รวมไปถึงการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมทั้งด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศ ว่าคนไทยสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ที่ต่อยอดจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาได้อย่างลงตัว และเป็นการกระชับความสัมพันธ์ด้านการต่างประเทศและนโยบายอื่นๆ ของรัฐบาลไทยกับนานาประเทศอีกด้วย “ผมอยากให้คนไทยภาคภูมิใจกับอาคารแสดงประเทศไทย เพราะผลงานที่ไปโชว์ในเวทีระดับโลกนี้ ไม่ใช่ผลงานของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นผลงานของประเทศไทย ที่จะไปแสดงศักยภาพให้ทั่วโลกได้เห็นว่า ประเทศไทยเรามีความพร้อมในทุกมิติ ขณะเดียวกันเราก็มีรากเหง้าวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าไม่แพ้ชาติใดในโลกเช่นกัน” ดร.ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย สามารถติดตามข่าวสารของอาคารแสดงประเทศไทยได้ที่ Facebook: expo2020dubaithailand Instagram: expo2020dubaithailand Youtube: expo2020dubaithailand Website: https://www.expo2020dubaithailand.com/