ทำความรู้จัก กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ ผู้บริหารไฟแรงแห่ง ALLY REIT / KE Group - Forbes Thailand

ทำความรู้จัก กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ ผู้บริหารไฟแรงแห่ง ALLY REIT / KE Group

ถ้านึกถึงผู้บริหารรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองในวงการอสังหาริมทรัพย์บ้านเรา หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ        กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการในเครือ เคอี กรุ๊ป ดูแลกองรีท ALLY REIT ซึ่งถือพอร์ทศูนย์การค้าและออฟฟิศทั้งหมด 11 โครงการในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเชียงใหม่ เช่น คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี), เดอะ คริสตัล, เพลินนารี่, เดอะ ซีน, แอมพาร์ค, อมอรินี่, สัมมากร และกาดฝรั่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวมประมาณ 147,000 ตร.ม. และมูลค่าทรัพย์สินรวมอยู่ที่ประมาณกว่า 12,700 ล้านบาท หลังจากคว้าปริญญาโทจากสหรัฐฯมาครองได้สมใจ กวินทร์ก็ไม่รอช้า มุ่งมั่นเดินตามเส้นทางอาชีพในฝัน  ที่อยากจะเป็นนักธุรกิจ โลดแล่นในวงการอสังหาฯ ด้วยการเข้ามาสานต่ออาณาจักรธุรกิจที่คุณพ่อคุณแม่สร้างไว้อย่างแข็งขัน เพราะหลังจากจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ และคว้าปริญญาโท คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ด้านอสังหาริมทรัพย์จาก Columbia University สหรัฐอเมริกามาครองได้สมใจ กวินทร์ไม่รอช้ามุ่งมั่นเดินตามเส้นทางอาชีพในฝันที่อยากจะเป็นนักธุรกิจ โลดแล่นในวงการอสังหาฯ ด้วยการเข้ามาสานต่ออาณาจักรธุรกิจที่คุณพ่อคุณแม่สร้างไว้อย่างแข็งขัน ในฐานะกรรมการผู้จัดการในเครือ เคอี กรุ๊ป ดูแลกองรีท ALLY REIT ซึ่งถือพอร์ทศูนย์การค้าและออฟฟิศทั้งหมด 11 โครงการในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเชียงใหม่ เช่น คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี), เดอะ คริสตัล, เพลินนารี่, เดอะ ซีน, แอมพาร์ค, อมอรินี่, สัมมากร และกาดฝรั่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวมประมาณ 147,000 ตร.ม. และมูลค่าทรัพย์สินรวมอยู่ที่ประมาณกว่า 12,700 ล้านบาท จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านมา 4 ปีแล้ว ที่กวินทร์เข้ามานั่งแท่นผู้บริหาร แม้ว่าการเข้ามาเป็นผู้บริหารหน้าใหม่จะเป็นโจทย์ที่ท้าทายไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอีกแชปเตอร์ของชีวิตที่ชวนให้เพลิดเพลิน ได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่มีในตำราเล่มไหน ส่วนตำราชีวิตการทำงานเล่มนี้ จะชวนให้น่าอ่านอย่างไร ไปทำความรู้จักพร้อมแกะรอยแนวคิดของผู้บริหารนิวเจนฯ แบบเอ็กซ์คลูซีฟพร้อมกัน
กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์
นักธุรกิจ VS นักกีฬา สองเส้นทา​งแห่งความฝัน ถ้าถามว่า ตอนเด็กโตขึ้นอยากทำอาชีพอะไร กวินทร์ ก็ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ที่มีความหลายความฝัน แต่ยิ่งเติบโตได้เรียนรู้โลกกว้าง บางความฝันในวัยเด็กก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่สองอาชีพที่ยังอยู่ในใจเสมอคือ ความฝันที่อยากจะเป็นนักกีฬา และนักธุรกิจ “ผมชอบเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก เล่นกีฬาเกือบทุกประเภทที่เล่นได้ ตั้งแต่ฟุตบอล บาสเกตบอล เทนนิส    พายเรือ ไปจนถึงกอล์ฟ สมัยเรียนก็เป็นนักกีฬาโรงเรียน และเป็นกัปตันทีมฟุตบอลมาตลอด เลยคิดว่าโตขึ้นอยากเป็นนักกีฬา ส่วนนักธุรกิจ เป็นแพชชั่นที่เกิดจากการเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงาน และโลดแล่นอยู่ในวงการอสังหาฯ มาตลอด ผมเองนอกจากจะมีโอกาสได้มาฝึกงานที่บริษัททุกปิดเทอม พอได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ยิ่งอินและสนใจมาทางนี้” จากความสนใจดังกล่าว จุดประกายให้กวินทร์ เลือกเรียนต่อปริญญาตรี ในสาขาเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโท ในสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งสองปริญญาที่ Columbia University ระหว่างเรียนก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการฝึกงานในองค์กรอสังหาฯ ชั้นนำในนิวยอร์กไปด้วย “ผมโตมากับธุรกิจนี้ ผมชอบการลงทุนในอสังหาฯ เพราะเป็นการผสมผสานทั้งศาสตร์ของตัวเลข เรื่องการลงทุน เข้ากับศิลป์ อย่างเรื่องการดีไซน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบไว้ด้วยกันอย่างลงตัว อย่างสมัยที่เรียนอยู่ที่นิวยอร์ก ซึ่งนอกจากจะเป็นเมืองที่อสังหาฯ มีมูลค่าสูงมาก ยังเป็นเมืองโดดเด่นเรื่องศิลปะและการออกแบบค่อนข้างมาก ตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นู่น ประมาณ 5 ปี ผมก็ได้เรียนรู้และซึมซับประสบการณ์ตรงนั้นมาไม่น้อย จนพอเรียนจบกลับมา ผมก็เข้ามาช่วยสานต่อธุรกิจครอบครัว ส่วนความฝันที่จะเป็นนักกีฬาก็ไม่ได้ทิ้ง ทุกวันนี้ผมก็ยังชอบเล่นกีฬา” “ผมเล่นหลายอย่างครับ แต่อาจจะไม่มากเท่าสมัยเด็กๆ เพราะพอทำงาน ภาระหน้าที่ก็มากขึ้น ยิ่งพอมาเจอสถานการณ์โควิด-19 กีฬาที่เคยเล่นเป็นทีมอย่างฟุตบอล ซึ่งปกติผมเล่นกองกลาง ก็ต้องพักไปก่อน จะมีที่ได้เล่นคือกอล์ฟ หรือไม่ก็ไปวิ่ง ซึ่งปกติผมพยายามออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน ถ้าไม่ไปวิ่งที่สวนสาธารณะก็เข้ายิม ไปวิ่ง ไปเวทเทรนนิ่ง หลักๆ เพื่อสุขภาพครับและความสุขมากกว่า เพราะผมไม่ใช่สายฟิตหุ่น    กินคลีนหรืออาหารสุขภาพ” กวินทร์เล่าอย่างอารมณ์ดี
กวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์
เปิดประตูสู่โลกแห่งการทำงาน หลังจากเรียกน้ำย่อย ด้วยการพาไปล้วงลึกโปรไฟล์ก่อนจะมาเป็นผู้บริหารที่หลายคนรู้จักในวันนี้ ได้เวลามาถอดแนวคิดในการทำงานของกวินทร์กันบ้าง ขึ้นชื่อว่าโลกแห่งการทำงานย่อมเต็มไปด้วยความท้าทาย กวินทร์ยอมรับว่า ช่วงแรกที่เข้ามาทำงาน เขาแบกรับความคาดหวังไม่น้อย ซึ่งความคาดหวังที่ว่าไม่ได้มาจากคนรอบข้างหรือครอบครัว แต่มาจากตัวเขาเอง ที่ตั้งความหวังกับตัวเองไว้สูงว่าเมื่อกลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวก็อยากทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด และสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้กับบริษัท “โชคดีที่คุณพ่อคุณแม่ให้ผมมาฝึกงานที่บริษัทอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เลยไม่ถึงกับต้องนับหนึ่งใหม่ เพราะผมเองก็พอรู้จักและคุ้นเคยกับทีมงานอยู่แล้ว แต่แรกๆ ผมอาจจะต้องปรับตัวในการทำงาน เพราะประสบการณ์ในการทำงานยังไม่เยอะ พอต้องมาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องบริหาร เลยยิ่งต้องเรียนรู้ให้มาก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังต้องพยายามเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเทคนิคที่ผมใช้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาทำงานจนถึงวันนี้คือ พยายามรับฟังทุกคนอย่างเข้าใจให้มากที่สุด รับฟังในที่นี้ไม่ใช่แค่คุณพ่อคุณแม่หรือบอร์ดบริหารนะครับ แต่ฟังทุกคน รวมถึงพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า นักลงทุน ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อีกบทเรียนสำคัญที่ผมได้เรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่คือ ต่อให้เป็นผู้บริหาร จะมองแต่ภาพใหญ่เน้นกลยุทธ์ภาพรวมอย่างเดียวไม่ได้ เพราะบางครั้งรายละเอียดเล็กๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน” มาถึงสไตล์การทำงานของผู้บริหารหนุ่ม กวินทร์ออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่บอสสายโหด แต่เน้นทำงานแบบมี  เป้าหมายชัดเจน เพื่อให้ทีมงานเห็นเป้าหมายในระยะยาวร่วมกัน ขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็น เพื่อให้ทุกคนได้ทำงานในแนวทางของตัวเองและเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมในชิ้นงานนั้นๆ Work Hard, Play Harder ฉบับผู้บริหารไฟแรง ชวนคุยเรื่องงานมาพร้อมหอมปากหอมคอ ปิดท้ายด้วยไลฟ์สไตล์วันว่างของผู้บริหาร นอกจากจะแบ่งเวลางานมาเล่นกีฬา กวินทร์ยังชื่นชอบการท่องเที่ยวและมีความสุขกับการสะสมงานศิลปะ “ถ้าเป็นช่วงสถานการณ์ปกติ ผมชอบเดินทางไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ส่วนตัวผมเที่ยวได้ทุกแนว ตั้งแต่แนวแอดเวนเจอร์ เดินป่า นอนเต้นต์ เที่ยวในเมือง หรือบางครั้งก็ไปเช็กอินตามรีสอร์ตเก๋ๆ ซึ่งผมยังมีอีกหลายจุดหมายปลายทางในใจที่อยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต เช่น การไปส่องสัตว์ที่แอฟริกาใต้ หรือไม่ก็ไปเที่ยวขั้วโลกใต้ หรือไปตระเวนเช็กอินรีสอร์ตดังๆ อีกหลายแห่ง แต่พอเกิดโควิด-19 ก็ต้องอดใจไว้ก่อน เปลี่ยนแผนมาเที่ยวเมืองไทยแทนก็สนุกไปอีกแบบ เปลี่ยนบรรยากาศ ด้วยการไปเที่ยวจังหวัดที่ยังไม่เคยไปมาก่อน” อีกหนึ่งงานอดิเรกที่กวินทร์ยกให้เป็นที่หนึ่งในใจนั่นคือ การสะสมงานศิลปะ “ผมชอบสะสมงานศิลปะ พวกภาพวาดและงานปั้น สมัยก่อนจะซื้อเวลาเดินทางไปต่างประเทศ แต่พอเจอโควิด-19 ไม่ได้เดินทาง ก็เลยหันมาศึกษาเกี่ยวกับงานศิลปะในไทยด้วย ส่วนใหญ่ผมซื้อเพราะชอบ เลยซื้อมาสะสมและใช้เป็นของแต่งบ้าน ไม่ได้มองว่าซื้อเพื่อลงทุน แต่ถ้าซื้อแล้วอีกหน่อยราคาขึ้นก็ดีใจครับ อย่างตอนนี้ศิลปินคนโปรดของผม คือ Alec Monopoly และ Eduardo Kobra ซึ่งทั้งคู่เป็นศิลปินกราฟฟิตีชาวนิวยอร์กชื่อดัง นอกเหนือจากงานศิลปะ พวกนาฬิาหรือรถ ผมก็ชอบครับ แต่ไม่ได้สะสม เน้นซื้อไว้ใช้งานจริงมากกว่า เพราะถ้าจะสะสม ผมคงเลือกสะสมเป็นอสังหาฯ มากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบอยู่แล้ว ยิ่งได้มาทำงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ยิ่งอิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการลงทุนในอสังหาฯ อาจจะต้องใช้เงินลงทุนสูงและเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่เหมือนการลงทุนประเภทอื่น ดังนั้นเลยต้องใช้เวลาเพื่อศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน และแน่ใจก่อนตัดสินใจ” กวินทร์บอกเล่าอย่างเป็นกันเอง ก่อนทิ้งท้ายถึงแผนอนาคตที่วางไว้ แน่นอนว่า ในแง่การทำงาน กวินทร์ตั้งใจจะต่อยอดอาณาจักรธุรกิจครอบครัวให้ยิ่งแข็งแกร่ง แต่ที่สำคัญภายใต้การเติบโตนี้ต้องไม่ลืมดูแลสังคมไปพร้อมกัน ส่วนตัวเขาเอง กวินทร์แย้มว่า นอกจากจะไม่หยุดเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เร็วๆ นี้น่าจะได้เห็นโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่กำลังปลุกปั้นอยู่ 2-3 โปรเจกต์อย่างแน่นอน ส่วนจะมาในรูปแบบไหนนั้น ต้องรอติดตาม