ถอดรหัสความสำเร็จ “นู สกิน” ธุรกิจระดับโลกที่ยืนหยัดด้วย “นวัตกรรม”
ถ้าถามว่าอะไร คือ กุญแจดอกสำคัญที่ทำให้นู สกิน แบรนด์ความงามและสุขภาพระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินธุรกิจในเกือบ 50 ตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย สามารถยืนหยัดและเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง คงหนีไม่พ้นความสามารถในการปรับตัวอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรองรับโอกาสของอนาคต
และด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นบริษัทชั้นนำของโลกด้านนวัตกรรมความงามและสุขภาพ ที่ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์มเพื่อโอกาสทางธุรกิจ นำมาสู่ 3 จุดแข็งสำคัญของ นู สกิน ได้แก่ โมเดลธุรกิจที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมาเป็นพาร์ตเนอร์โดยไม่ต้องเสียค่าสมัคร ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องสต็อกสินค้า หรือกังวลเรื่องการจัดส่งสินค้าข้ามประเทศ ถัดมา คือ มีแผนปันผลตอบแทนที่มีความยืดหยุ่นสูง ลงตัวกับทุกเจนฯ ที่สำคัญคือขยายธุรกิจไปได้ทั่วโลก สุดท้าย คือ มีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างด้วยนวัตกรรมที่หลากหลาย ตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย แถมยังเป็นแบรนด์ยอดขายอันดับ 1 ของโลก 4 ปีซ้อนในด้านบิวตี้แกดเจ็ต จากการสำรวจของยูโรมอนิเตอร์* ซึ่งล้วนเป็นแต้มต่อสำคัญที่ทำให้ นู สกิน ประสบความสำเร็จในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
วิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้จัดการทั่วไปของ นู สกิน ประเทศไทย เผยว่า “ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของ นู สกิน ประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรายังคงมุ่งมั่นต่อยอดจุดแข็งและกลยุทธ์ของบริษัทแม่ที่มุ่งตอบโจทย์ 3 เทรนด์โลกที่มาแรง ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ Social Commerce, Anti Aging และการผลิตสินค้าเฉพาะบุคคล โดย นู สกิน มีแอปพลิเคชัน VERA ที่มีฟังก์ชันวิเคราะห์ปัญหาผิวผ่าน AI เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับแต่ละคน ในฝั่งของพาร์ตเนอร์เราก็มีแอปฯ ที่มีฟังก์ชันติดตามสถานะธุรกิจและลูกค้าได้ทั่วโลกได้แบบเรียลไทมส์ สามารถสร้างลิงก์ให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้า ช่วยในการทำการตลาดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบสะสมแต้ม เพื่อให้ลูกค้าเกิด Loyalty และกลับมาซื้อซ้ำ”
สุดท้ายนี้ วิภาดา เชื่อมั่นว่า ด้วยกลยุทธ์ที่มาถูกทาง และการปรับตัวอย่างไม่หยุดยั้ง จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ นู สกิน ประเทศไทย ก้าวสู่ธุรกิจแถวหน้าในการสร้างอาชีพ ดูแลสุขภาพและความงามให้กับคนไทย
เรื่องราวความสำเร็จ และวิสัยทัศน์ของเหล่าพาร์ตเนอร์” นู สกิน ประเทศไทย”
วิบูลยศ เอี่ยมรานนท์ และ พัชรีพันธุ์ สัตตบรรณศุข ในฐานะ Circle of Excellence COEIV สองนักธุรกิจที่เริ่มต้นจากการมองเห็นศักยภาพของธุรกิจ นู สกิน ทั้งในด้านความโปร่งใส มั่นคง แถมยังขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและมีโมเดลธุรกิจที่พร้อมขยายไปทั่วโลก
“เมื่อ 20 ปีที่แล้ว จุดแข็งในเรื่องธุรกิจระดับโลกของ นู สกิน อาจไม่ได้เด่นชัด แถมยังมีกำแพงเรื่องภาษาและระยะทาง แต่วันนี้เมื่อโลกทั้งใบถูกย่อไว้ที่ปลายนิ้ว ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า วิสัยทัศน์ของ นู สกิน ที่จะขยายไปทั่วโลกทำได้จริง และกำลังสร้างความได้เปรียบมหาศาล เพราะต่อให้นั่งทำงานอยู่เมืองไทย ก็สามารถค้าขายกับลูกค้าที่มีอยู่ในเกือบ 50 ประเทศทั่วโลกได้ ที่สำคัญไม่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ไม่ต้องสต๊อกสินค้า วางแผนการจัดส่ง หรือเซ็ตระบบหลังบ้านเพื่อทำการตลาด เพราะ นู สกิน จัดทำแพลตฟอร์มไว้ให้หมดแล้ว แถมยังมีสินค้าที่หลากหลายและโดดเด่นด้วยนวัตกรรม” พัชรีพันธุ์ กล่าว
ขณะที่วิบูลยศ เสริมว่า ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ด้วยโมเดลธุรกิจของนู สกิน กลับทำให้ยิ่งมั่นใจว่า ถ้ามีความมุ่งมั่นมากพอ ความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อม
“ผมเชื่อว่าโอกาสเป็นของคนที่มองเห็นเท่านั้น และตอนนี้มีโอกาสที่ยิ่งใหญ่รออยู่ตรงหน้าทุกคน เราสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ด้วยการลงทุนกับตัวเอง สร้างรายได้จากทั่วโลกได้ด้วยปลายนิ้ว สำหรับผมแล้วจึงบอกกับตัวเองเสมอว่าทุ่มสุดตัว All in กับการทำธุรกิจนี้ เพราะมองว่านี่เป็นหน้าต่างแห่งโอกาสบานใหญ่ที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ตฤณ วิชัยดิษฐ และ จิราวรรณ วิชัยดิษฐ ในฐานะ Circle of Excellence COEIII
อีกหนึ่งพาร์ตเนอร์คนสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่า หากเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง ย่อมนำไปสู่เป้าหมายที่หวัง
“ผมเห็นความเป็นไปได้ในธุรกิจ สกิน ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก มีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจที่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างและไม่เคยหยุดพัฒนา ผมมองว่านี่คือแต้มต่อที่สำคัญ เพราะหากเรานำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ย่อมสร้างความไว้วางใจและซื้อซ้ำ ที่สำคัญ นู สกิน ยังมีแพลตฟอร์มที่ช่วยให้พาร์ตเนอร์ขยายตลาดไปได้ทั่วโลก”
จิราวรรณ เสริมว่า “การทำธุรกิจ นู สกิน เหมือนการสร้างบ้านบนฐานที่ลงเสาเข็มไว้ลึกมาก ไม่ว่าจะเลือกสร้างบ้านไซซ์ไหนก็แข็งแรง และยืนหยัด จึงตอบโจทย์คนที่ต้องการสร้างรายแบบผ่อนแรงในระยะยาว เพียงลงทุนกับความพยายามของตนเอง โดยใช้เครื่องมือดิจิทัลที่ นู สกิน เตรียมไว้ให้อย่างครบครัน”
นู สกิน ยังทำให้การทำงานทุกๆ วันมีความหมาย เพราะได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคม ผ่านการบริจาค 1% ของรายได้จากนู สกิน ทุกเดือน เพื่อสนับสนุนมูลนิธิผ่าตัดหัวใจเด็กที่พิการแต่กำเนิด ณ โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งปัจจุบันโครงการนี้ช่วยเด็กให้รอดชีวิตไปแล้วมากกว่า 13,500 ราย
TAGGED ON