จากภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตไทยในปัจจุบัน ที่มีสัดส่วนคนไทยที่ทำประกันชีวิตเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดอยู่ที่ร้อยละ 40 และมีสัดส่วนมูลค่าธุรกิจประกันชีวิตในไทยเมื่อเทียบกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี เพียงร้อยละ 3.8 จึงถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจและโจทย์ใหญ่สำหรับธุรกิจประกันชีวิต “ทำอย่างไรให้คนเข้าถึงประกันชีวิตได้มากขึ้น” เมืองไทยประกันชีวิต จึงตอบโจทย์ดังกล่าวด้วยกลยุทธ์ ‘Health 5.0’” การดูแลสุขภาพที่เข้าถึงทุกคน
“สถานการณ์ของโควิด-19 ที่แพร่ระบาดในไทยช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนเห็นถึงความสำคัญของการทำประกันชีวิตควบคู่กับการมีความคุ้มครองด้านสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดประกันสุขภาพในไทยเติบโตสูงมากในช่วงที่ผ่านมา แต่โจทย์ท้าทายต่อไป คือ จะทำอย่างไรให้คนเข้าถึงประกันชีวิตได้มากขึ้น เราจึงตั้งกลยุทธ์ “Health 5.0” ที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมสำหรับความคุ้มครองสุขภาพที่เข้าถึงได้และเท่าเทียมในทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ทุกคนดีขึ้น” 
สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงที่มาของกลยุทธ์ “Health 5.0” ยุทธศาสตร์ใหม่ของเมืองไทยประกันชีวิต
สิ่งแรกที่เมืองไทยประกันชีวิตเริ่มทำ คือ เปลี่ยนแนวคิด (Mindset) ในการทำธุรกิจใหม่ โดยให้ความสำคัญกับ Outside In ที่จะมุ่งคำนึงถึงมุมมองของลูกค้าเป็นอันดับแรกว่ามีความต้องการอะไร โดยนำข้อมูล (Data) มาช่วยในการวิเคราะห์และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะตัว (Personalization) และสามารถครอบคลุมได้ทุกเพศทุกวัย รวมถึงกลุ่ม LGBTQIA+
“ไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็ก หรือตัวใหญ่ มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน ทั้งคนโสด มีครอบครัว คนวัยทำงาน ผู้เกษียณอายุ เจ้าของกิจการ พนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ แม่บ้าน คนขับรถ พนักงานรักษาความปลอดภัย ก็สามารถเข้าถึงความคุ้มครองจากเมืองไทยประกันชีวิตได้” สาระกล่าว
ปัจจุบัน เมืองไทยประกันชีวิต มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้า ซึ่งรวมถึงความคุ้มครองสุขภาพ สำหรับผู้ที่มีโรคต่างๆ เช่น ความคุ้มครองสุขภาพสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน การคิดเบี้ยประกันภัยสำหรับคนที่เป็นโรคดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับระดับค่าน้ำตาลในเลือด หากปริมาณน้ำตาลในเลือดลดลง เบี้ยประกันภัยจะลดลงตามไปด้วย ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้ผู้คนดูแลใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และมุ่งสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพดี
นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์คุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย “Elite Health Plus” และ “D Health Plus” ที่คุ้มครองทั้งค่าห้องและค่ารักษา ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ โดยประกันคุ้มครองสุขภาพ Elite Health Plus จะคุ้มครองครอบคลุมค่าห้องและค่ารักษาเหมาจ่ายตั้งแต่ 20-100 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ D Health Plus ให้ความคุ้มครองเหมาจ่ายตั้งแต่ 1-5 ล้านบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ สามารถเลือกซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้ตามต้องการ เช่น ตรวจสุขภาพ ทำฟัน ดูแลสายตา หรือคุ้มครองการคลอดบุตร
 สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem) เพื่อเชื่อมต่อการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร
สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem) เพื่อเชื่อมต่อการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร
สาระกล่าวว่า “ด้วยโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มเมืองไทยประกันชีวิตนั้น มีเมืองไทยประกันชีวิต มีบริษัทที่เป็น อินชัวร์เทค (Insurtech) และมี Venture Capital (VC) ที่เป็นเสมือนกองทุนร่วมลงทุนที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสตาร์ทอัพ (Startup) ที่ล้วนเสริมกันในการสร้างศักยภาพ เพื่อพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมถึงต่อยอดการบริการในด้านต่างๆ ให้สามารถครอบคลุมการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร รวมไปถึงสถานพยาบาลและศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวจะอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายอย่างเคร่งครัด”
ปัจจุบัน เมืองไทยประกันชีวิต ได้พัฒนาและผสมผสานรูปแบบการบริการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม อาทิ
 	- แอปพลิเคชัน MTL Click ที่รวบรวมทุกบริการของเมืองไทยประกันชีวิต สะดวก ครบ จบในแอปเดียว
- MTL Health Buddy ผู้ช่วยสุขภาพครบวงจร สามารถปรึกษาสุขภาพกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค การทำนัดหมายติดต่อเข้ารับการรักษา
- เมืองไทยสไมล์คลับ ศูนย์รวมกิจกรรมความสุข รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ มุ่งมั่นส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้ลูกค้าผ่านหลากหลายกิจกรรม
- MTL Fit แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพที่จะทำให้คุณได้รู้จักสุขภาพของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในด้านต่างๆ (Ecosystem Partners) ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสถานพยาบาล พันธมิตรในตลาด อีคอมเมิร์ซ และพันธมิตรในกลุ่มสตาร์ทอัพ ที่จะช่วยทำให้ลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิต ได้รับความสะดวก และเข้าถึงการบริการได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญในเรื่อง “การสื่อสารกับลูกค้า” เมืองไทยประกันชีวิตจึงได้จัดทำแคมเปญ "A True Story" ถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์จริงจากลูกค้าของเมืองไทยประกันชีวิตถึงการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์คุ้มครองสุขภาพในยุค Next Normal ที่ความเจ็บป่วยใกล้ตัวกว่าที่คิดและโรคอุบัติใหม่ที่มา ได้แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีให้กับเมืองไทยประกันชีวิต
สังคมเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน ประกันยิ่งสำคัญ
สาระกล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเติมเต็มการเชื่อมต่อระหว่างธุรกิจประกันกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น จึงทำให้สามารถออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมความคุ้มครองด้านสุขภาพที่ช่วยลดปัญหาที่เป็น Pain Point เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ที่สามารถตอบโจทย์ได้ตรงจุดต่อความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะตัว (Personalization) ได้ในแบบที่ใครๆ ก็สามารถเข้าถึงความคุ้มครองจากเมืองไทยประกันชีวิตได้ อย่างไรก็ดีช่องทางการขายประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ การขายผ่านตัวแทน ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 50 รองลงมา คือ ช่องทางธนาคาร ส่วนการขายประกันผ่านช่องทางดิจิทัลในปัจจุบันยังมีสัดส่วนเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับช่องทางการขายอื่นๆ
“เนื่องจากผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนั้นมีความซับซ้อนในการทำความเข้าใจ สิ่งสำคัญของธุรกิจประกัน จึงเป็นเรื่องความเชื่อมั่นและไว้ใจในผลิตภัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่า ตัวแทนประกันชีวิตทำหน้าที่ในการถ่ายทอดอธิบายผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามยิ่งบริษัทฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการแบบเฉพาะตัวมากขึ้น การดูแลลูกค้ารวมถึงการพูดคุยของตัวแทนเพี่อให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจและเห็นถึงความสำคัญของการทำประกันชีวิต จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น และเกิดการบอกต่อของลูกค้า ด้วยเหตุนี้ตัวแทนประกันชีวิตจึงต้องยกระดับตัวเอง เปลี่ยนจากการเป็นผู้ขาย เป็นผู้แนะนำที่ให้คำปรึกษาโดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก”
ในฐานะที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิตมาหลายทศวรรษ สาระมองว่า ประกันชีวิต เป็นเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญในการช่วยบริหารความเสี่ยง ดูแลชีวิต สุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คนมาโดยตลอด ยิ่งในปัจจุบันการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ประกันชีวิตจึงยิ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากประชาชนไม่มีการออมเงิน ออมเงินไม่มากพอ หรือไม่มีการทำประกันชีวิต คุ้มครองสุขภาพใดเลย จะทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่อาจจะเกิดขึ้นสูงและค่าห้องที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี
ในฐานะที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิตมาหลายทศวรรษ สาระมองว่า ประกันชีวิต เป็นเครื่องมือทางการเงินที่สำคัญในการช่วยบริหารความเสี่ยง ดูแลชีวิต สุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คนมาโดยตลอด ยิ่งในปัจจุบันการที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ประกันชีวิตจึงยิ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากประชาชนไม่มีการออมเงิน ออมเงินไม่มากพอ หรือไม่มีการทำประกันชีวิต คุ้มครองสุขภาพใดเลย จะทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่อาจจะเกิดขึ้นสูงและค่าห้องที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี
“สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งธุรกิจประกันชีวิต ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐจะต้องร่วมมือบูรณาการเพื่อดูแลชีวิตของคนไทย และสังคมไทยให้อยู่บนความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง” สาระกล่าวทิ้งท้าย