Jungheinrich ชูจุดเด่นรถยกไฟฟ้า สมรรถนะสูง งานบริการและอะไหล่ พร้อมรุกตลาดทุกกลุ่มธุรกิจ ก้าวสู่ปีที่ 16 ในไทย - Forbes Thailand

Jungheinrich ชูจุดเด่นรถยกไฟฟ้า สมรรถนะสูง งานบริการและอะไหล่ พร้อมรุกตลาดทุกกลุ่มธุรกิจ ก้าวสู่ปีที่ 16 ในไทย

Jungheinrich (ยุงค์ไฮน์ริช) คือ ผู้ผลิตรถฟอร์คลิฟท์ (forklift) หรือรถยกชั้นนำ เชี่ยวชาญพิเศษในกลุ่ม  รถยกไฟฟ้าและยังเป็นผู้นำเทคโนโลยีการจัดการคลังสินค้าระบบอัจฉริยะรายใหญ่จากประเทศเยอรมนี      ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 67 ปี และมีสาขาทั่วโลกใน 40 ประเทศ พร้อมส่งมอบสินค้าและบริการ โซลูชันด้าน  โลจิสติกส์ภายในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม (intralogistics) ที่ตอบสนองทุกความต้องการด้าน    โลจิสติกส์ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวในประเทศไทย โดยมุ่งมั่นและก้าวสู่ปีที่ 16 ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมความต้องการในทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและใส่ใจต่อ    สิ่งแวดล้อม คุณเบนจามิน สุจินดา บุณยรัตพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยุงค์ไฮน์ริช ลิฟท์ ทรัค จำกัด          สาขาประเทศไทย กล่าวว่า Jungheinrich ได้เริ่มขยายธุรกิจสู่ประเทศไทยในช่วงเวลาเดียวกันกับที่บริษัทสัญชาติเยอรมันหลายแห่งเริ่มมองการขยายธุรกิจนอกภูมิภาคยุโรปในช่วงปี 2543 เป็นต้นมา “รถยกของ Jungheinrich ได้เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2526 ผ่านตัวแทนผู้จัดจำหน่าย ที่เป็นผู้นำเข้า ในช่วงเวลาดังกล่าวมียอดจำหน่ายรถยกจำนวน 90 คันต่อปี ซึ่งบริษัทแม่ที่เยอรมนีเล็งเห็นว่า    การเข้ามาตั้งบริษัทลูกในประเทศไทยนั้น น่าจะช่วยผลักดันยอดขายให้สอดคล้องกับขนาดตลาดของประเทศไทย ที่มีขนาดใหญ่และมีแนวโน้มการเติบโตสูง” คุณเบนจามินกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคยุโรป ที่เป็นบริษัทระดับโลกอีกหลายแห่งได้ทำการขยายธุรกิจมายังประเทศไทย และมีความต้องการให้ Jungheinrich เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยด้วย เพราะเชื่อมั่นในฐานะบริษัทระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านรถยกไฟฟ้าบริการโซลูชันด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าอัตโนมัติแบบครบวงจร ซึ่ง Jungheinrich เป็นผู้ให้บริการด้าน intralogistics รายใหญ่ที่สุดในยุโรป และอยู่ใน 3 อันดับแรกของโลก มีรายได้รวมกว่า 4 พันล้านยูโรในปี 2562 บริษัทจึงเห็นโอกาสการเติบโตและขยายตัวของธุรกิจ โดยได้ก่อตั้ง บริษัท ยุงค์ไฮน์ริช ลิฟท์ ทรัค จำกัด สาขาประเทศไทย ในปี 2548 ให้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยกทุกประเภทและผลิตภัณฑ์ของ Jungheinrich โดยไม่ผ่านตัวแทน เพื่อดำเนินธุรกิจและขยายโอกาสการเติบโตในประเทศไทยอย่างเต็มตัว ต่อมาในปี 2558 บริษัทได้ย้ายสำนักงาน และคลังสินค้าจากอาคารพาณิชย์ขนาด 3 คูหาย่านกิ่งแก้ว มาสู่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่บนถนนบางนา-ตราด กม. 19 อ. บางพลี จ. สมุทรปราการ โดยมีพื้นที่ขนาด 5,000 ตารางเมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่เดิมถึง 3 เท่า หลังจากบริษัทได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาระยะหนึ่ง ได้เล็งเห็นโอกาสเติบโตของรถยกมือสอง จึงได้เปิด Refurbishment Hub หรือศูนย์ปรับสภาพรถยกที่ผ่านการใช้งานแล้วให้เป็นรถยกมือสองพร้อมใช้งานด้วยสมรรถนะและรูปลักษณ์เทียบเท่ารถยกมือหนึ่งในราคาที่ต่ำกว่า ภายใต้แบรนด์ JUNGSTARS ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561 Refurbishment Hub ที่ประเทศไทยถือเป็นศูนย์ปรับสภาพรถยกที่ผ่านการใช้งานแล้วประจำภูมิภาค        เอเชีย-แปซิฟิก (APAC) และเป็นแห่งที่ 3 ต่อจากศูนย์ในประเทศเยอรมนีและจีน ทำให้บริษัทสามารถส่งมอบรถยกไฟฟ้ามือสองที่มีคุณภาพสูงกลับสู่ตลาด สัดส่วนกว่า 70% ของรถยกมือสองที่นำมาปรับสภาพ    ที่ศูนย์ในประเทศไทยนั้นล้วนเป็นรถยกที่นำเข้าจาก Jungheinrich สาขาต่างประเทศ (สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินเดีย, ออสเตรเลีย) ปัจจุบัน Junghienrich ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ครอบคลุมธุรกิจรถยกสำหรับจำหน่ายและเช่าระยะยาว โดยมีระยะเวลาเช่าเริ่มต้นที่ 12 เดือนขึ้นไป โดยสามารถเลือกรถใหม่ รถมือสอง หรือผสม (mix fleet)    ซึ่งค่อนข้างได้รับความนิยมเนื่องจากเป็นค่าเช่าที่คุ้มค่า เพราะรวมค่าเช่ากับการซ่อมบำรุงรักษา โดยที่ลูกค้าสามารถใช้งานอย่างไร้กังวลตลอดอายุสัญญา โดยธุรกิจประเภทนี้สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท สำหรับธุรกิจที่สร้างรายได้เป็นลำดับรองลงมาคือ บริการหลังการขาย ตามมาด้วยธุรกิจให้เช่ารถยกระยะสั้น โดยมีระยะเวลาให้เช่าตั้งแต่รายวันถึง12 เดือน และที่ลืมไม่ได้คือ ธุรกิจรถยกปรับสภาพ (JUNGSTARS) โดยปัจจุบันบริษัทมีรถยกในตลาดทั้งหมดเกือบ 5,000 คัน และมีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้นจาก 34 คน      ในช่วงเริ่มต้น จนถึงปัจจุบันมีพนักงานรวมกว่า 200 คน โดยเป็นช่างเทคนิคผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการลูกค้าจำนวนเกือบ 100 คน “ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เรามีการเติบโตเฉลี่ยปีละมากกว่า 10% ในทุกๆ ปี ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ที่มาพร้อมกับการขยายตัวของจีดีพีของประเทศ โดยเฉพาะ  อย่างยิ่งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงจากการจำหน่ายรถยกมาสู่ธุรกิจให้เช่ารถยก”            คุณเบนจามินกล่าว นอกจากนี้ ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากประเทศผู้ส่งออกสู่ประเทศที่มีการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสั่งสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งทำให้ธุรกิจศูนย์กระจายสินค้า        (distribution center) มีการขยายตัวสูง ส่งผลให้รถยกไฟฟ้าและบริการของ Jungheinrich ที่มีความเชี่ยวชาญด้านบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติแบบครบวงจรตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจเหล่านี้ได้เป็น      อย่างดี คุณเบนจามินกล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน green energy หรือพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นเทรนด์      ที่ทั่วโลกกำลังให้ความใส่ใจมากขึ้น ทุกวันนี้ประมาณครึ่งหนึ่งของตลาดในไทยหันมาใช้รถยกไฟฟ้า      และรถยกไฟฟ้าอัตโนมัติ เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นในการจัดการคลังสินค้าชั้นนำ เช่น ระบบออโตเมชั่น    และจัดเก็บสินค้าแบบชั้นวางสูงในช่องทางเดินรถแคบ (VNA: Very Narrow Aisle) และระบบชั้นวางสูง (high racking systems) ที่ช่วยทำให้ได้พื้นที่ในการจัดเก็บสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถใช้ชั้นวางได้สูงถึง 14 เมตร เหมาะสำหรับคลังสินค้าที่ต้องการจัดเก็บปริมาณมากๆ แต่มีขนาดพื้นที่จำกัด ซึ่งคลังสินค้าที่ใช้ระบบดังกล่าวกำลังขยายตัวสูงในประเทศไทย โดย Jungheinrich ยังเป็นรายแรกที่นำรถยกไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน (lithium-ion) เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งนำเข้ามาในปี 2561 และเชื่อว่า green energy จะเป็นเทรนด์ที่เติบโตในอนาคต สำหรับโอกาสทางธุรกิจจากแผนการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) บริษัทเชื่อมั่นว่า ธุรกิจบริการโลจิสติกส์จะมีการขยายตัวสูงจากความต้องการของบริษัท  ต่างชาติระดับโลกที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว ปัจจุบันบริษัทมีสำนักงานสาขาที่นิคมอุตสาหกรรม  เหมราช จ. ระยอง ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 และสร้างรายได้เป็นอันดับ 2 รองจากพื้นที่กรุงเทพฯ “เราวางแผนขยายธุรกิจ พิจารณาทำเลสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อเพิ่มพื้นที่เป็น 10,000 ตร.ม. รองรับการเติบโตของบริษัท โดยรวมส่วนสำนักงาน คลังสินค้าและ Refurbishment Hub ไว้ในพื้นที่เดียวกัน เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมระบบออโตเมชั่นและเทคโนโลยีระดับสูงในกลุ่มรถ VNA ตลอดจนพัฒนารถยกไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์ตลาดภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยกไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงงานในชิงปู เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ที่จะทำให้บริษัทสามารถนำเสนอสินค้าคุณภาพดีในราคาที่แข่งขันในตลาดได้ โดยเราจะยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการอันเป็นเลิศ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเราที่ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทค้าปลีก ค้าส่ง รายใหญ่หลายรายในประเทศไทยที่เป็นลูกค้าของเรา”        คุณเบนจามินกล่าว