ฉีกตำราบริหารธุรกิจสไตล์ ธนน วีอารยะ “เมื่อตัวเลขสำคัญน้อยกว่าความสุข” - Forbes Thailand

ฉีกตำราบริหารธุรกิจสไตล์ ธนน วีอารยะ “เมื่อตัวเลขสำคัญน้อยกว่าความสุข”

มาตรวัดความสำเร็จในการทำธุรกิจของคุณคืออะไร? ผลกำไรหรือตัวเลขการเติบโตของธุรกิจ... เชื่อหรือไม่ว่า ตัวเลขเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของธนน วีอารยะ ประธานบริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านอาหารและร้านเบเกอรี่ชื่อดังจากญี่ปุ่น และ ประธานกรรมการบริษัท ฮอนด้า บ้านใหม่ ปทุมธานี จำกัด เพราะเส้นชัยในการทำธุรกิจที่ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีรอยสักเป็นเอกลักษณ์ตีค่าเป็นประสบการณ์ชีวิตและความสุขที่ได้สั่งสมจากการเรียนรู้อย่างไม่รู้จบในโลกธุรกิจ ประสบการณ์ชีวิตสอนให้รู้ว่าโลกนี้ยังมีคนที่ต้องการ “โอกาส” ชีวิตนักเรียนนอกที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ได้สวยหรูเป็นลูกคุณหนูเหมือนสมัยอยู่เมืองไทย หล่อหลอมให้ธนนเติบโตมาพร้อมกับไดร์ฟที่ผลักดันให้ต้องเข้มแข็งและกลัวความล้มเหลว “ผมเข้าโรงเรียนประจำที่สวิตฯ ตอน 10 ขวบ พูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้เลย พอต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยต้องปรับตัวเยอะมากและพยายามพิสูจน์ตัวเอง จนพอเข้ามหาวิทยาลัย ผมย้ายมาเรียนที่สหรัฐฯ ทางบ้านซัพพอร์ตเรื่องเรียน ต้องเดินเป็นไมล์กว่าจะถึงโรงเรียน อยากได้อะไรต้องเก็บเงินซื้อเอง เพราะฉะนั้นผมไม่เคยเกี่ยงงาน ทำตั้งแต่ร้านอาหารไปจนเป็นเด็กรับรถ เคยเจอดูถูกไม่ยอมให้ขึ้นไปขับรถ หรือแม้แต่โยนเศษเงินให้” ประสบการณ์ตรงเหล่านั้น ทำให้เขาเข้าใจหัวอกของคนที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำเป็นอย่างดี และเป็นแรง        บันดาลใจที่ทำให้บอกตัวเองว่าถ้ามีโอกาสก็อยากแบ่งปัน และช่วยเหลือสังคม หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ธนนตัดสินใจกลับมาเมืองไทย เข้ามาช่วยบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว ก่อนจะมาลุยธุรกิจของตัวเอง “ผมทำมาหลายอย่าง มีทั้งที่เจ๊งและประสบความสำเร็จ แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะผมมองว่าทุกอย่างคือ    การเรียนรู้ เป็นกำไรชีวิต อย่างที่บอก ผมไม่เคยประเมินธุรกิจเป็นตัวเลข กำไร หรือขาดทุน เป้าหมาย  ของผม ไม่ใช่เงิน แต่เป็นประสบการณ์ชีวิต” นี่จึงเป็นเหตุผลให้ที่ผ่านมา ธนนเลือกทำธุรกิจไปควบคู่กับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโครงการมอบสนามเด็กเล่นให้เด็กๆ ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชนแออัดในพื้นที่ต่างๆ เช่น ชุมชนร่วมฤดี, คลองเตย เพื่อมอบของสิ่งที่จำเป็นให้คนในชุมชน โครงการสนับสนุนช่วยเหลือผู้สูงอายุ    โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต.นาโหนนน้อย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี “ช่วงโควิด-19 เพื่อตอบแทนน้ำใจฮีโร่ตัวจริง ผมริเริ่มโครงการ RIDE4HERO มอบเครื่องช่วยหายใจ และรถรับส่งแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ให้ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก พร้อมเปิดให้บริการตรวจเช็กรถฟรีแก่แพทย์จากโรงพยาบาลในปทุมธานีและกรุงเทพฯ ที่ฮอนด้า บ้านใหม่ ปทุมธานี ผมเลือกทำในสิ่งที่ผมทำได้ และอยากเป็นพลังเล็กๆ ที่ช่วยให้คนไทยก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน” ถอดสมการความสุข = ความสำเร็จ นอกจากจะทำธุรกิจโดยไม่ลืมดูแลสังคม ความสุขของคนรอบตัว ก็เป็นอีกหมุดหมายในชีวิตของธนน “ผมไม่ได้ทอนทุกอย่างเป็น Dollar หรือ Cent ไม่ได้มองความสำเร็จแค่ผมคนเดียว แต่ต้องเป็นความสำเร็จของทีม อย่างพนักงานที่ทำงานกับผม แค่เห็นเขามีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากเคยนั่งรถเมล์เปลี่ยนมาขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงาน ผมก็มีความสุขแล้วที่ได้เป็นก้าวเล็กๆ ที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ผมคิดเสมอว่า    คนเราต่อให้รวยแค่ไหน สุดท้ายก็เอาติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง เมื่อถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ภาพที่คนอื่นจดจำเราเป็นแบบไหน กับคำตอบที่เราเจอว่าชีวิตนี้ได้ใช้อย่างคุ้มค่าหรือยังต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ” ถามว่า แนวคิดเช่นนี้จะเป็นไปได้กับโลกธุรกิจที่กำไร ขาดทุนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนหรือไม่ ธนน ตอบชัดว่า เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับว่า นิยามความสำเร็จในการทำธุรกิจของคุณคืออะไรสำหรับผม      คำตอบ คือ ความสุข ต่อให้เส้นทางที่จะไปถึงช้าหรืออ้อมหน่อยไม่เป็นไร อย่างช่วงโควิด-19 ผมจะลดคนเพื่อให้องค์กรลีนขึ้นก็ได้ แต่ผมรู้ว่าพนักงานลำบากกว่าผมมาก ดังนั้นนอกจากจะพยายามประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอด แก้ปัญหาไปตามสถานการณ์ และข้อมูลที่มี ผมยังจ่ายเงินเดือนพนักงานเต็ม “เวลาทำธุรกิจ ผมตัดสินใจบนพื้นฐานที่คิดว่าดีที่สุด ณ ตอนนั้น เปรียบเทียบให้เห็นภาพ ผมทำธุรกิจตามที่แสงของไฟฉายในมือผมฉายไปถึง ซึ่งไกลสุดไม่เกิน 3 เดือน (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นผมจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำได้หรือไม่ได้ รู้ลิมิตของตัวเองอยู่ตรงไหน และไม่ไปเกินนั้น ฝันได้แต่ต้องไม่ฝืนความเป็นจริงหรือ    เกินตัว” รอยสัก คือ ตัวตนของผม สะท้อนวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนใครไปแล้ว มาถึงอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่ชวนให้สะดุดตา          อย่างรอยสัก ธนนเฉลยถึงเบื้องหลังรอยสักเหล่านี้ว่า ด้วยความเป็นคนสุดขั้ว เวลาทำอะไรต้องทำให้สุด แม้แต่การสัก เขาเลือกสักทั้งตัว โดยลงทุนบินไปสักกับช่างสักชื่อดังชาวญี่ปุ่น ใช้เวลา 8 ปีเต็มกว่าจะสมบูรณ์ “รอยสักนี้คือสิ่งที่สะท้อนคุณค่าของผม ทุกวันนี้เวลามองรอยสักของตัวเอง ผมไม่ได้เห็นเป็นภาพ แต่เป็นความทรงจำและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในชีวิต อย่างที่บอกผมอยู่กับไดร์ฟที่กลัวความล้มเหลวมาทั้งชีวิต ดังนั้น การที่มีรอยสักแบบนี้เป็นการย้ำเตือนว่าชีวิตนี้ผมจะล้มเหลวไม่ได้ ผมต้องบริหารธุรกิจให้รอด เพราะผมคงไม่สามารถไปรับราชการหรือสมัครงานได้ ขณะเดียวกันรอยสักยังเป็นเกราะที่กันผมจากคนที่มองหรือตัดสินคนจากภายนอกอีกด้วย” มาถึงวันนี้ ธนนย้ำว่า เขามีความสุขกับจุดที่ยืน ส่วนเป้าหมายในอนาคต เขายังยืนยันว่าเปลี่ยนแปลงได้ตลอด และเลือกจะก้าวไปเท่าที่ไฟฉายในมือส่องไปถึง ถึงจะไม่ได้ไกลจนเห็นภาพ 5-10 ปี แต่อย่างน้อย ไฟฉายในมือไม่เคยอ่อนแสง เพราะมีพลังงานความสุขที่เติมเต็มเข้ามาตลอด