Harald Link พันธกิจ บี.กริม สร้างพลังงานยั่งยืน พิทักษ์เสือเพื่อโลก - Forbes Thailand

Harald Link พันธกิจ บี.กริม สร้างพลังงานยั่งยืน พิทักษ์เสือเพื่อโลก

    ธรรมชาติคือที่พักพิงของมนุษย์และทุกชีวิตบนโลก วัันนี้แม้โลกเต็็มไปด้วยเมืืองใหญ่ที่ทัันสมัย สะดวกสบาย แต่ทุกคนก็ยัังต้องพึ่งพิงธรรมชาติ ยิ่งเทคโนโลยีีก้าวล้ำคนยิ่่งต้องให้ความสำคัญกับธรรมชาติิมากขึ้น

    ความสามารถในฐานะองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่ขยายจากธุรกิจด้านเวชภัณฑ์ สู่กิจการด้านพลังงานหมุนเวียนสร้างชื่อเสียงและพลังในการขับเคลื่อนธุรกิจไปพร้อมกับแนวทางการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ในหลากหลายโครงการเป็นสิ่งยืนยันความมุ่งมั่นของ บี.กริม ในฐานะองค์กร 146 ปี ที่สร้างคุณูปการมากมายต่อผู้คน สังคม และโลก ด้วยแนวทางการทำธุรกิจบนพื้นฐานความยั่งยืน สร้างก้าวย่างการเติบโตควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

    "บี.กริม ทำธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารีมานานกว่า 146 ปี และมุ่งมั่นที่จะสานต่อแนวทางนี้ใหเ้ป็นต้นแบบขององค์กรยั่งยืน ดำเนินธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกทั้งในระดับประเทศและระดับโลก" Dr. Harald Link ประธานเจ้า หน้าที่บริหาร และเจ้าของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM กล่าวประโยคนี้เสมอ เมื่อมีคำถามถึงแนวคิดการดำเนินธรุกิจ เขาอธิบายว่า การดำเนินธุรกิจของ บี.กริม เน้นสร้างความยั่งยืน เพราะเชื่อว่าการทำธรุกิจด้วยความโอบอ้อมอารี เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติจะนำพาความสุขมาสู่ทุกคน

    การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Link ที่มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี ผ่านยุทธศาสตร์หลักเพื่อสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน สร้างองค์ประกอบพื้นฐานเพื่อวางรากฐานความยั่งยืนที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมถึงประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนของบริษัท ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจสู่การเติบโตในระยะยาว พร้อมส่งมอบคุณค่าเชิงบวกต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มตลอดห่วงโซ่คุณค่าอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

​Dr.Harald Link, วิิกรม กรมดิิษฐ์ และ Georg Schmidt พร้อมคณะ
ร่วมเดิินสััมผััสเส้นทางเดิินป่าระยะทาง 3.4 กิิโลเมตร

​ยั่งยืนในกระบวนการธุรกิจ

    แผนกลยุทธ์ความยั่งยืนที่ บี.กริม วางไว้จนถึงปี 2573 ประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลักเพื่อสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจจากพลังงานสะอาดส่งมอบคุณค่าแก่สังคม และคงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ยุทธศาสตร์นี้เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการดำเนินธุรกิจของ บี.กริม เพาเวอร์ ครอบคลุมประเด็นที่มีความสำคัญต่อทั้งบริษัทและผู้มีส่วนได้เสีย มีการกำหนดแนวทาง เป้าหมาย และติดตามวัดผลอย่างต่อเนื่อง

    องค์ประกอบที่ 2 คือ สร้างรากฐานสู่ความยั่งยืน เขาเชื่อว่าการเติบโตอย่างยั่งยืนสร้างขึ้นจากรากฐานที่แข็งแกร่ง จึงให้ความสำคัญกับองค์ประกอบขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เคารพต่อสิทธิมนุษยชน การบริหารห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน และการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียทุกคน

​    สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี สร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนจากพลังงานสะอาด เพื่อเศรษฐกิจสีเขียวที่เกิดจากยุทธศาสตร์หลักเพื่อสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน คงความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

    แนวทางดำเนินงานของ บี.กริม มุ่งสู่การเป็นธุรกิจก๊าซเรือนกระจกต่ำ นวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ความเป็นเลิศด้านพลังงานและการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า การพัฒนาชุมชนและสังคม การพัฒนาศักยภาพพนักงาน และให้ความสำคัญกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัย

    "ความยั่งยืนถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ บี.กริม เราให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม โดยการลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม รวมถึงการสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น โครงการ Save the Tigers ซึ่งช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ"

พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานมูลนิธิรัฐบุรุษ เป็นประธานในพิธีเปิดเส้นทางศึกษาธรรมชาติ "ผากล้วยไม้ น้ำตกเหวสุวัต”
พร้อมดวยเอกอัครราชทูตเยอรมนี ประธาน บี.กริม และประธานมูลนิธิอมตะ เข้าร่วมพิธี

    ในด้านการศึกษา บี.กริม มีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ โดยมอบทุนการศึกษาและสนับสนุนโครงการวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เพราะเชื่อว่า "การลงทุนในความรู้ และการเรียนรู้เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของ บี.กริม ในการสร้างอนาคตที่สมดุลทั้งในด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม"

    ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเป็นการสร้างความยั่งยืนเชิงกลยุทธ์ บี.กริม ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 50% ในปี 2573 เพราะตระหนักว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่สะอาดและยั่งยืนไม่เพียงแค่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว

    ปัจจุบัน บี.กริม มีโครงการโรงไฟฟ้า จากพลังงานทดแทนที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และพัฒนาโครงการในหลายประเทศอาทิ ประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา กรีซ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย รวมทั้งประเทศไทย "บี.กริม ลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และโครงการ Net-Zero เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน" Link ย้ำและว่า บี.กริม ยังสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติ เช่น โครงการ Save the Tigers เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ


​วง Royal Bangkok Symphony Orchestra บรรเลงบทเพลงท่ามกลางธรรมชาติ

    "ในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจมา 146 ปี ตั้งแต่ปี 2421 บี.กริม ได้รับใช้ประเทศไทย ด้วยความมุ่งมั่นและความภาคภูมิใจในฐานะบริษัทที่ก่อตั้งมายาวนานที่สุดในประเทศ" ซีอีโอ บี.กริม ย้ำและว่านอกจากสร้างธรุกินให้เติบโตบนพื้นฐานเรื่องความยั่งยืนแล้ว เขายังให้ความสำคัญในการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมที่งดงามของประเทศไทย ผ่านการสนับสนุนศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรีคลาสสิก และโครงการต่างๆ ที่มีคุณค่า "เราเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจนอกจากเพื่อผลกำไรแล้ว ยังรวมถึงการสร้างคุณค่าให้กับสังคมในระยะยาว"

    Link เป็นคนที่มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับสังคมมาก เขาสร้างความยั่งยืนจากโครงการต่างๆ ที่เสริมความแข็งแรงให้กับสังคมควบคู่ไปด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันความยั่งยืนของ บี.กริม ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการดูแลชุมชน การสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยมุ่งมั่นที่จะรักษาแนวทางนี้ไว้ต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีสำหรับประเทศไทยและโลก

​คืนสมดุลสู่ธรรมชาติ

    "บี.กริม มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ความท้าทายที่เกิดจากโลกร้อนและภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เราตระหนักว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทั้งศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของคนทั่วโลก จึงมุ่งมั่นดำเนินงานด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ"

    แนวทางของ บี.กริม ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศวางไว้ 5 แนวทางสำคัญ เริ่มจากแนวทางที่ 1. การเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน บี.กริม ทุ่มเทในการขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม

    แนวทางที่ 2 ความมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ผ่านการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด

    แนวทางที่ 3. การจัดการน้ำและความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำ เพราะตระหนักถึงความเสี่ยงที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำ และภัยแล้งในบางพื้นที่ของประเทศไทย จึงได้พัฒนาแผนการใชน้ำอย่างยั่งยืนส่งเสริมประสิทธิภาพของการใช้น้ำในกระบวนการผลิตตามหลัก 3Rs (Reduce-Reuse-Recycle) คือ การลดการใช้น้ำ การใช้น้ำซ้ำ และการนำน้ำไปผ่านกระบวนการบำบัดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่

    แนวทางที่ 4. การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โครงการอนุรักษ์ธรรมชาติ ของ บี.กริม เช่น โครงการอนุรักษ์เสือโคร่ง และการปลูกป่า ช่วยสร้างความสมดุลของระบบนิเวศและปกป้องพื้นที่ป่าไม้ที่สำคัญ โดยมีการทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญต่อการสร้างความยืดหยุ่นของสิ่งแวดล้อม

    แนวทางที่ 5. การส่งเสริมชุมชนและการสร้างความร่วมมือ เพราะ บี.กริม เชื่อว่าการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน จึงมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร ในการพัฒนาโครงการเพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในระดับประเทศและนานาชาติ

​พิทักษ์เสือเพื่อโลก

    โครงการอนุรักษ์เสือโคร่งและการปลูกป่าเป็นไฮไลต์สำคัญที่สะท้อนความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างแท้จริง Link ทำโครงการอนุรักษ์เสือโคร่งมานานหลายปี เป้าหมายสำคัญคือ การอนุรักษ์สมดุลของธรรมชาติ เพราะการมีอยู่ของเสืิอโคร่งคือการมีอยู่ของป่า และไม่เพียงอนุรักษ์เสือ แต่ บี.กริม ยังเน้นการปลูกป่า สร้างสมดุลธรรมชาติให้กลับคืนมา

    โครงการ "Save the Tigers" ฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2554 โดย บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมมือกับกรมอุทยานห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และองค์กรนอกภาครัฐในโครงการ Save the Tigers อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานแห่งชาติคลองลานกำแพงเพชร ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 4,532 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็น "พื้นป่าแห่งความหวัง" เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมกับการขยายพันธุ์เสือโคร่งที่ดีที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    นอกจากนี้ ยังได้มีการขยายการดำเนินงานอีก 2 แห่งคือ อุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า จังหวัดกำแพงเพชร และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่โครงการปัจจุบัน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การเพิ่มประชากรเสือโคร่ง "เรามีเป้าหมายจะเพิ่มประชากรเสือโคร่งในประเทศไทยให้ได้ 300 ตัว หรือคิดเป็น 2 เท่า เพื่อส่งเสริมเป้าหมายเสือโคร่ง 6,400 ตัวทั่วโลกภายในปี 2565" ซึ่งประเทศไทยได้ให้ห้คำมั่นสัญญาไว้ในการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยการอนุรักษ์เสือโคร่งที่ประเทศรัสเซียเมื่อปี 2553 และเพื่อช่วยปกป้องถิ่นที่อยู่ของเสือโคร่งจากการลักลอบล่าสัตว์และรุกล้ำที่อยู่อาศัย รวมถึงอนุรักษ์ ฟื้นฟู ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าทางตะวันตกของประเทศไทย


เราทุกคนใช้สิ่งแวดล้อมร่วมกัน ถ้าเราไม่ดูแลแล้วใครจะดูแล

​    "เสือโคร่งคือหนึ่งในดัชนีชี้วัดถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ช่วยทำให้ระบบนิเวศมีความสมดุล เมื่อจำนวนประชากรเสือโคร่งลดลงเรื่อยๆ จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าผืนป่ากำลังประสบปัญหาขาดความอุดมสมบูรณ์" ปัจจุบัน IUCN จัดสถานะให้เสือโคร่งอยู่ในประเภทใกล้สูญพันธุ์ สำหรับประเทศไทยก็ได้ระบุให้เสือโคร่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เพราะประชากรเสือโคร่งลดน้อยลงจนเข้าสู่ภาวะวิกฤต โดยพบได้ในป่าธรรมชาติของ 13 ประเทศเท่านั้น รวมทั้งประเทศไทยซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของเสือมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังมีจำนวนเสือโคร่งในธรรมชาติกระจายตัวอยู่ในป่าอนุรักษ์ที่สำคัญ

    บี.กริม จึงให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรเสือโคร่ง โดยเป็นบริษัทเอกชนรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่ดำเนินการด้านนี้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จากการเดินหน้าอนุรักษ์ร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่ายินดีว่าประชากรเสือโคร่งในประเทศไทยได้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยถ้าย้อนไปกว่า 10 ปีที่แล้วเท่าที่มีข้อมูลเกี่ยวกับประชากรเสือโคร่งในประเทศไทยมีไม่ถึง 100 ตัว แต่ในปัจุบันประชากรเสือโคร่ง โดยภาพรวมที่เก็บข้อมูลได้มีจำนวนเพิ่มเป็น 179-233 ตัวในผืนป่าธรรมชาติของไทย


​สานต่อระบบนิเวศป่า

    นอกจากอนุรักษ์เสือโคร่ง บี.กริม ยังมีโครงการสนับสนุนการยับยั้งนำสัตว์ป่าออกจากถิ่นอาศัย และการทำลายป่าโดยตั้งแต่ปี 2563 บี.กริม ได้สนับสนุนการยับยั้งนำสัตว์ป่าออกจากถิ่นอาศัย และการทำลายป่าที่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งและสัตว์ต่างๆ ซึ่งเป็นการช่วยรักษาสภาพแวดล้อมธรรมชาติ รวมถึงสุขภาพของประชากรทั่วโลกภายใต้แคมเปญ "End Pandemics" โดยร่วมกับมูลนิธิ Freeland ที่มุ่งเน้นไปที่ต้นตอของปัญหาโรคระบาดที่เกิดจากการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่คน

    ไม่ว่าจะเป็นการนำสัตว์ป่าออกจากถิ่นอาศัยที่ทำให้สัตว์ป่าเข้ามาใกล้กับคนมากขึ้น รวมถึงการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าทำให้สัตว์ป่าต้องบุกรุกเข้ามาในชุมชน ซึ่งทำให้เชื้อไวรัสสามารถแพร่จากสัตว์ป่าสู่คนได้ ไวรัสโควิด-19 ไม่ใช่โรคระบาดตัวแรกของโลกและเชื่อว่าจะไม่ใช่ตัวสุดท้าย เป็นเสมือนการส่งสัญญาณเตือนให้โลกตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ป่า

​    ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ประเมินว่า 70-75% ของโรคติดต่อใหม่ที่เกิดขึ้นสามารถส่งต่อจากสัตว์ถึงคนได้ ดังนั้นการอนุรักษ์สัตว์ป่าอย่างจริงจัง นอกจากสามารถปกป้องและพิทักษ์รักษาสิ่งมีชีวิตแล้ว ยังช่วยลดความรุนแรงของโรคระบาดใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน ตลอดจนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและผลกระทบที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

บีี.กริิม ร่วมกับมูลนิิธิิกองทุนการกุศลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพระราชูปถัมภ์ 
จัดค่ายพยาบาลและมอบ "ทุนการศึกษาสมเด็็จย่า 90"

    โครงการ "ฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการอุทยานแห่งชาติ" หรือ Competency Development Program For Park Management โดย บี.กริม ร่วมกับมูลนิธิอมตะ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์ุพืช, Paulson Institute และ International Conservation Caucus Foundtion จัดการฝึกอบรมหลักสูตรการ พัฒนาสมรรถนะด้านการจัดการอุทยานแห่งชาติปีที่ 3 ณ เขาใหญ่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกามาร่วมให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเจ้าหน้าที่อุทยานในด้านการบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์อย่างยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อยกระดับการจัดการอุทยานแห่งชาติของประเทศไทยและภูมิภาค สร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างภาครัฐ เอกชน และองค์กรไม่แสวงหากำไร ทั้งในประเทศและนอกประเทศ

    นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติความสัมพันธ์ไทย-เยอรมันครบรอบ 160 ปี เส้นทางผากล้วยไม้ น้ำตกเหวสุวัต ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โครงการนี้เป็นความร่วมมือระดับไตรภาคีระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย, มูลนิธิอมตะ และ บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด โดยริเริ่มโครงการในปี 2564 เน้นการพัฒนาเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะทาง 3.4 กิโลเมตร

    เริ่มแรกเป็นเส้นทางที่บุกเบิกขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน ได้ทำการปรับปรุงเพื่อให้เส้นทางนี้เดินง่ายและมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยยึดตามหลักวิชาการให้สอดคล้องกับธรรมชาติมากที่สุด จึงไม่มีการตัดต้นไม้ในป่า แต่นำไม้ปลูกจากสวนป่าด้านนอกมาใช้ทำขั้นบันได

    นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำป้ายสื่อความหมาย (signage) อธิบายเรื่องพืชพันธุ์ สัตว์ป่า เพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้าใจให้กับผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวกับสัตว์ป่าและพันธ์ุไม้ที่อยู่ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ ส่งเสริมให้เป็นห้องเรียนกลางแจ้ง ทำให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมได้ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรทางธรรมชาติ นำไปสู่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จะเห็นได้ว่าแนวทางการสร้างความยั่งยืนของ บี.กริม มีทั้งความยั่งยืนในธุรกิจและยั่งยืนไปกับสมดุลแห่งธรรมชาติป่า และโลก


คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine