เป้าหมายที่จะพิชิตรายได้ 1 พันล้านบาทในปีนี้ ของ สมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ และการสร้าง iiG ให้กลายเป็น “tech stock” เบอร์ 1 ประดับตลาดหุ้นไทยดูเหมือนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย เมื่อหนุ่มวัยเลข 6 ออกมา call out เรียกร้องให้คนในรุ่นเขาลุกขึ้นมาล่าฝันเหมือนเขา มองหาชีวิตแบบ “adventure” สร้างคุณให้กับสังคม อย่าจำนนกับตัวเลขอายุ
อายุเป็นเพียงตัวเลขน่าจะเป็นวลีที่อธิบายตัวตนของ สมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (iiG) ได้เป็นอย่างดี หนุ่มวัย 66 ปีเบื้องหน้าของพวกเราดูมีรูปร่างแข็งแรงได้สัดส่วนกระฉับกระเฉง และมีบุคลิกคล่องแคล่วว่องไว ต่างจากคนในรุ่นเดียวกับเขา ในวันสัมภาษณ์เขาสวมใส่ชุดอย่างเป็นทางการเพราะมีภารกิจสำคัญในช่วงบ่าย แต่หากในวันปกติแล้วเขาจะปรากฏตัวในอีกลุคด้วยการสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบเดินปะปนกับพนักงานรุ่นลูกที่มีราว 200 คนในสำนักงานของเขา เมื่อพูดคุยลงลึกในรายละเอียดของชีวิตพวกเราก็พบเรื่องน่าทึ่งเข้าไปอีก เด็กชายสมชายในสมัยเรียนมัธยมเต็มไปด้วย เรื่องราวบู๊ๆ จริงๆ แล้วเป็นเด็กหัวดีแต่เลือกที่จะไม่เรียน บ่อยครั้งเขาจะโดดเรียนไปเฮฮากับเพื่อนๆ จนกระทั่งสอบตกต้องเรียนหนังสือซ้ำชั้น ต่อมาเกิดวิกฤตครอบครัวจนต้องกลับเนื้อกลับตัวเป็นเด็กดีเพื่อเป็นเสาหลัก พร้อมมุ่งหน้ากลับเข้าสู่โลกแห่งการศึกษาอย่างจริงจังจนสอบเข้าจุฬาฯ ได้ความไม่แน่นอนในชีวิตนี่กระมังได้มอบความแข็งแกร่ง ความอดทน และความเป็น “นักสู้” ให้กับสมชาย ผู้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยสร้าง iiG ให้เป็นบริษัทเทคชั้นนำแม้ว่าจะอยู่ในวัยเกษียณก็ตามที iiG ดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นนำของไทย ปัจจุบันสมชายถือหุ้นส่วนตัวอยู่ในบริษัท 28.52% (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤษภาคม ปี 2564) หากรวมผู้ถือหุ้นของครอบครัวเมฆะสุวรรณโรจน์อีก 2 คน สัดส่วนการถือหุ้นรวมก็อยู่ที่ 36.71% ซึ่งหุ้นได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลามตั้งแต่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2563 ราคาหุ้นวิ่งไปปิดที่ 57.75 บาทในวันที่ 4 มกราคม ปี 2565 จากราคาปิด 22.50 บาท ณ วันที่ 30 ธันวาคม ปี 2563 แม้ราคาหุ้นทะยานขึ้น แต่ภารกิจของสมชายยังไม่จบ เขาบอกว่ายังมีเรื่องที่จะต้องทำอีกมาก โดยเฉพาะแผนการสร้าง iiG ให้กลายเป็น tech stock เบอร์ 1 ในตลาดหุ้นไทย พร้อมๆ กับสร้างบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน ขณะที่อีกด้านก็ต้องการจะช่วยบรรดาบริษัทลูกค้าให้ก้าวข้ามผ่าน “digital transformation” อย่างไร้รอยต่อ เราเรียกคุณสมชายว่า “reborn” อีกครั้งได้ไหมในวัยขนาดนี้? พวกเราถามแบบเย้าๆ สนุกๆ และสมชายก็ตอบทันทีว่า “ใช่เลย” คำนี่ใช่เลย ตรงที่สุด ที่พวกเราถามเช่นนั้นเป็นเพราะว่าคนในวัยนี้ส่วนใหญ่ได้วางมือจากหน้าที่การงานแล้ว และเลือกที่จะอยู่บ้านเลี้ยงดูหลาน หรือไม่ก็หาเวลาท่องเที่ยวใช้ชีวิตที่เหลือ แต่สมชายกลับทำสิ่งตรงกันข้ามทั้งหมด วัยเลข 6 ของเขาไม่สามารถหยุด “ความฝัน” ของเขาได้
ชีวิตต้องสู้
สมชายเกิดในครอบครัวฐานะดี มีพี่น้องอีก 2 คน บิดาทำกิจการไนต์คลับแถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทั้งคู่เลี้ยงดูสมชายแบบปล่อยให้คิดเอง ทำเอง เพราะวุ่นวายกับการทำมาหากิน แต่ย้ำเน้นว่าต้องเป็น “เด็กดี” ด้วยชีวิตที่ค่อนข้างอิสระนี่เอง ทำให้เด็กชายสมชายเดินออกนอกลู่นอกทาง โดยโดดเรียนไปตีสนุ๊กกับเพื่อนบ้าง ไปดูภาพยนตร์บ้าง ดื่มแอลกอฮอล์บ้าง จนสอบตก และต้องเรียนซ้ำชั้น มศ. 4 (ระบบการศึกษาเดิม) ทำให้มารดาร้องไห้เสียใจเป็นอย่างมาก ประกอบกับวันหนึ่งบิดาประสบอุบัติเหตุ ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งตัว ทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองเป็นสมชายคนใหม่เพื่อเป็นเสาหลัก ฐานะทางบ้านที่เคยดีก็เริ่มสั่นคลอนหลังพ่อล้มป่วย เพราะต้องขายบ้านเพื่อนำเงินมารักษา และสมชายก็รับรู้ถึงความลำบากนั้น ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดเขาจึงนำเงินจากแม่ก้อนสุดท้ายมาเปิดธุรกิจโต๊ะสนุ๊กจำนวน 5 โต๊ะ คุมกิจการด้วยตัวเองเพื่อหารายได้จุนเจือจนทุกคนสามารถอยู่รอดได้ ขณะที่ยามว่างเขาก็ทุ่มเทกับการเรียนหนังสือจนสอบติดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ โดยเลือกเรียนสาขาวิชาสถิติ เน้นเรียนด้านคอมพิวเตอร์ สมชายบอกว่า เขาชอบ “คอมพิวเตอร์มาก” ชอบมาตั้งแต่เด็ก และยังพูดติดตลกว่า เรียนคณะนี้มา 4 ปี แต่ไม่ได้ลงเรียนวิชา “บัญชี” สักตัวเลย ขณะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยเขาก็สนุกกับการทำกิจกรรมไปด้วย เพราะอยู่ในยุคที่มีบรรยากาศการเมืองครุกรุ่นบวกกับมีอุดมการณ์ที่อยากเห็นสังคมดีขึ้น จึงได้ลากเขาเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมในรั้วพระเกี้ยว จนทำให้เขาจบระดับปริญญาตรีด้วยเกรดเฉลี่ย 2.00 เมื่อเขาเข้าสู่ตลาดแรงงานก็รับรู้ทันทีว่ายากที่จะหางานดีๆ ได้ด้วยเกรดน้อยนิดเช่นนี้ จึงต้องตัดสินใจเรียนระดับปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) คณะสถิติประยุกต์ ด้านคอมพิวเตอร์ เพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ผิดหวังเพราะเขาสามารถเรียนจบด้วยเกรดสูงสุดของรุ่น จนอาจารย์เชื้อเชิญเขามาเป็นอาจารย์ประจำ แต่เขาก็ปฏิเสธไป “ต้องบอกว่า พื้นฐานเราเป็นเด็กเรียนเก่ง ฉลาด สมองดีแต่ไม่ใช้ ที่เรียนไม่ดีเพราะเราไม่เรียน ก็จะพิสูจน์ให้ดูว่า ถ้าฉันเรียนฉันทำได้ ก็จบได้ที่ 1 ของรุ่น” สมชายย้อนอดีตให้ฟังพร้อมเสียงหัวเราะ จบมาครานี้สมชายมีโอกาสเลือกงานมากขึ้น มุ่งไปสายงานที่ตนเองรักคือ โปรแกรมเมอร์ บริษัทแรกหลังจบที่เขาได้แสดงฝีมือคือ ที่ Dow Chemical บริษัทเคมีใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ทำอยู่ 2-3 ปี ก็ย้ายไปทำงานที่โรงกลั่นของ บริษัท ไทยออยล์ ที่ศรีราชา วันหนึ่งก็รู้สึกเบื่ออยากกลับมาทำงานในเมืองหลวง จึงร่อนใบสมัครงานไปในบริษัทฝรั่งหลายๆ แห่งในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายไอที ตอนนั้นอายุ 32 ปี ในใจลึกๆ เริ่มตระหนักว่างานตำแหน่งนี้มัน “it’s the end of the road” ของวิชาชีพแล้ว แล้วมันจะโตจะไปอย่างไรต่อ แล้ววันหนึ่งจุดเปลี่ยนของชีวิตก็มาถึง เมื่อได้เรียกตัวไปสัมภาษณ์งานจากบริษัทสัญชาติสวิสแห่งหนึ่งในตำแหน่งงานผู้จัดการฝ่ายไอที แผนกยา แต่ผู้บริหารชาวเยอรมันไม่รับเพราะมองว่าเขาเป็นคนทะเยอทะยานและไม่น่าจะทำงานที่นี่นาน จึงส่งต่อไปให้คุยกับนายใหญ่ชาวสวิสแทน และเขาก็ได้เสนอตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย เพราะตอนนั้นบริษัทกำลังจะเปิดแผนกคอมพิวเตอร์ขายเครื่อง IBM และต้องการคนมาช่วยผลักดัน แต่กระนั้นเขาก็ไม่ตอบทันทีเพราะไม่มีประสบการณ์ กลับมาครุ่นคิดและท้ายสุดก็ตัดสินใจรับงานเพราะดูน่าท้าทาย ไม่นานก็ปรับตัวได้ สามารถขายเครื่องได้ เพราะลูกค้าไว้ใจเขา จากนั้นอีก 3-4 ปีต่อมางานก็ดูจะจืดชืด จึงหาซอฟต์แวร์มาขายพ่วงกับเครื่อง IBM ที่เรียกว่า ERP นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการนำเข้าซอฟต์แวร์จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาด “ถือว่าผมเป็นรุ่นแรกๆ ในประเทศไทยที่ทำเรื่องซอฟต์แวร์ ERP ขายอยู่ 3-4 ปีขายดิบขายดี มือขึ้นมาก แม้ไม่เคยขายของมาก่อน แล้วมีข้อสรุปว่า เราขายของได้” เขากล่าวสร้าง “องค์กรในฝัน”
ยิ่งทำไปเสียงเรียกร้อง “ความเป็นผู้ประกอบการ” จากภายในกายยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออายุ 35 ปีเขาตัดสนใจจบชีวิตลูกจ้างและตั้งบริษัทจำหน่ายธุรกิจขายเครื่อง IBM พ่วงกับซอฟต์แวร์ ERP ด้วยเงินเก็บของตนเอง 1 ล้านบาทกับเงินทุนอีกก้อนใหญ่จากผู้ถือหุ้นใหญ่อีก 2 คน นอกเหนือจากเหตุผลนี้แล้ว เขาบอกว่า เขาเป็นคนมี “ความเชื่อมั่นในตัวเองสูง” มักไม่เห็นด้วยกับการทำงานของหัวหน้าในบางครั้งและได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาจนไม่เป็นที่ชื่นชอบ ดังนั้น การเปิดบริษัทตัวเองจึงเป็นทางออกที่ดีกว่า สามารถสร้าง “องค์กรในฝัน” ที่ตนเองอยากให้เป็นได้อย่างเต็มที่ “ผมเป็นคนที่มีจิตวิญญาณผู้ประกอบการเต็มตัว นั่นคือทำไมอายุ 35 พอละ ไม่อยากเป็นลูกจ้าง มาขอวัดดวง เชื่อมือตัวเองจากประสบการณ์ที่ขายระบบคอมพิวเตอร์อยู่ราว 3 ปี” “ตอนนั้นมุ่งมั่นอย่างเดียว ต้องการประสบความสำเร็จ อาจเป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่มาได้หลายเส้นทาง มาได้หลายสูตร ไม่จำเป็นว่าต้องเรียนจากสถาบันดี เก่ง แล้วประสบความสำเร็จ มันไม่มี pattern”

คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมีนาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine
