Paolo Bestetti สืบทอดดีเอ็นเอของตระกูล Bestetti แห่งอิตาลีที่สมาชิกทุกคนล้วนมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เมื่อเขาจับมือกับ Luigi Bestetti คุณลุงของเขาจัดตั้ง Baxter เพื่อทำโซฟาหนังระดับไฮเอนด์ขึ้นเมื่อ 29 ปีก่อน ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะขยายไปทั่วโลกนำ โซฟาหรู รุกตลาดโรงแรมหรู และเตรียมจับมือกับนักลงทุนสร้างต้นแบบ “Baxter Hotel” ที่ Lake Como เพื่อนำเสนอประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของแบรนด์แก่นักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายจากทั่วโลก
หนุ่มใหญ่ทายาทของตระกูล Bestetti ในชุดสูทแบบลำลองกับรองเท้าผ้าใบในมาดเท่ๆ ราวกับเป็นศิลปิน หรือดีไซเนอร์ชื่อดังจากอิตาลี โน้มตัวเล็กน้อยบนโซฟาหนังสีเหลืองมัสตาร์ด ก่อนจะอธิบาย Forbes Thailand ว่าเขาไม่ใช่ดีไซเนอร์ และแม้ว่าจะเคยออกแบบงานให้ Baxter 2-3 ชิ้น “แต่นั่นพอแล้ว มันจะไม่มีอีกแล้ว” “ผมไม่ได้เป็นดีไซเนอร์ เราเป็นธุรกิจครอบครัว ผมและลุง ทุกคนในครอบครัวเราอยู่ในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ พ่อมีร้านเฟอร์นิเจอร์ พี่ชายผมเป็นดีไซเนอร์ ปู่ผมอยู่ในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้ มันอยู่ในดีเอ็นเอของเรา” Paolo Bestetti ผู้ร่วมก่อตั้ง Baxter เฟอร์นิเจอร์แบรนด์หรูที่เขาบอกว่า “ต้องอยู่ยอดบนสุดเท่านั้น” (Seasons of Living ผู้แทนจำหน่ายในไทยบอก Forbes Thailand ว่าโซฟาหรู Baxter ที่นำมาจำหน่ายในไทยมีสนนราคาตั้งแต่ 1-3 ล้านบาท) ได้เดินทางมาไทยเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเพื่อพูดคุยกับผู้บริหาร Seasons เกี่ยวกับโครงการปรับปรุงโชว์รูมแห่งเดียวในไทยของ Baxter ที่เอกมัยซึ่งจะใช้งบลงทุนประมาณ 500,000 ยูโร (ประมาณ 17.8 ล้านบาท) “ตลาดไทยกำลังไปด้วยดี เราเคยมีปัญหาตอนมีปัญหาเรื่องสี (การชุมนุมประท้วงในกรุงเทพฯ) หลายปีก่อนที่ตลาดทรุดลง แต่ระหว่างปี 2017-18 เราเติบโต 15% ตามเป้าเราแฮปปี้ และตอนนี้เรากำลังคิดถึงการรีโนเวทโชว์รูม จะมีการจัดแสดงดิสเพลย์ใหม่เราจะเปลี่ยนแปลงพื้นที่และทุกอย่างอย่างสิ้นเชิงในช่วงกันยายน-ตุลาคม” อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของอัตราการเติบโตโดยรวมของ Baxter ทั่วโลกในปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขายพุ่งขึ้น 30% เป็นประมาณ 55 ล้านยูโร เนื่องจากอัตราเติบโตที่ดีในตลาดเอเชีย รวมถึงจีน ซึ่ง Bestetti กำลังมุ่งเปิดโชว์รูมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Baxter ยังได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงรสนิยมของผู้บริโภคชาวเอเชียซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้โน้มเอียงมาใกล้เคียงกับผู้บริโภคชาวยุโรปมากขึ้น Bestetti กล่าวว่าปัจจุบันความสวยงามและคุณภาพของสินค้าไม่ใช่จุดสุดท้ายของความสำเร็จอีกต่อไปแล้ว แต่การดิสเพลย์สินค้าให้เหมาะสม เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับคุณค่าของแบรนด์ การสร้างความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟรวมถึงการนำาเสนอบริการให้กับนักออกแบบที่ทำงานให้ลูกค้า ได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน โดยโชว์รูม Baxter ในกรุงเทพฯ จะมีการรีโนเวทใหม่หมดจดด้วยการประดับตกแต่ง สีสัน และผนังใหม่รวมทั้งแปลงโฉมให้มีรูปลักษณ์เสมือนเป็นอะพาร์ตเมนต์ ที่มีส่วนห้องต่างๆ รวมถึง “ห้องสมุด” ที่จะมีคอลเล็คชั่นของวัสดุ สีและอุปกรณ์เสริม (accessories) ต่างๆ ให้นักออกแบบสามารถเข้ามานั่งทำโครงการและ “mix & match” เฟอร์นิเจอร์ หรือ โซฟาหรู ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครให้กับวิลล่าหรูของลูกค้าของพวกเขาแต่ละราย ในส่วนกลยุทธ์และทิศทางในอนาคตของ Baxter นั้น Bestetti กล่าวว่าบริษัทจะเน้นการขยายตลาดไปยังประเทศและภูมิภาคต่างๆ ที่ยังไม่ได้เข้าไป อาทิ อินเดีย ออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และแอฟริกา นอกจากนี้จะมีการทำงานกับ Mono Brand (ร้านค้าที่จำหน่าย Baxter เพียงแบรนด์เดียว) อย่างใกล้ชิดและเข้มงวดมากขึ้นเพื่อให้ Mono Brand สามารถทำางานที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นรวมทั้งขยายตลาดไปยังกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ตระดับหรูให้มีสัดส่วนรายได้ 20% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทภายใน 3 ปีจากปัจจุบันที่ลูกค้าบ้านพักอาศัยมีสัดส่วนรายได้ 95% ของบริษัท “ขณะนี้โรงแรมกำลังถูกกดดันให้เพิ่มงบประมาณสำหรับ (การตกแต่ง) พื้นที่สาธารณะ เราคงยังไม่สามารถเข้าไปถึงในห้องพักได้ แต่ในพื้นที่สาธารณะ เช่น ล็อบบี้ บาร์ และห้องอาหาร เรากำลังจ้องคอยอยู่” ซีอีโอ Baxter กล่าวอย่างเชื่อมั่นว่าเฟอร์นิเจอร์สุดหรูของเขากำลังจะมีช่องเข้าไปในตลาดโรงแรมระดับ 5-6 ดาวได้มากขึ้นตามแนวโน้มการแข่งขันเพื่อสร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เขามองว่ามีโอกาสเติบโตอีกมากจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีนซึ่งยังมีคนจีนอีกมากที่ยังไม่ได้เดินทางออกไปนอกประเทศ “ตอนนี้เรายังมีโรงแรมไม่เพียงพอในอิตาลี” Bestetti กล่าวกับ Forbes Thailand พร้อมแย้มถึงแผนการสร้าง Baxter Hotel ร่วมกับนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเพื่อนำเสนอประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟของแบรนด์ที่ Lake Como แหล่งท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อของอิตาลีที่ดึงดูดเซเลบคนดังจากทั่วโลกคลิกเพื่ออ่านบทความทางด้านธุรกิจ ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ พฤษภาคม 2562 ในรูปแบบ e-Magazine