ศุภาลัย หลังชิมลางการลงทุนพัฒนาอสังหาฯในต่างประเทศที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ล่าสุด บมจ.ศุภาลัยได้ขยายการลงทุนไปยังเวียดนาม และศึกษาโอกาสลงทุนทั่วอาเซียน กำหนดเพดานลงทุนถึง 5 พันล้านบาท ขณะที่ตลาดในประเทศยังคงเติบโตต่อเนื่องเป้ายอดขายปีนี้ 3.5 หมื่นล้านบาท
บมจ.ศุภาลัย ถือเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท็อป 5 ในตลาดเป็นอีกบริษัทที่ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่องแม้ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯปีนี้ค่อนข้างชะลอตัว แต่ผลประกอบการของศุภาลัยในสองไตรมาสที่ผ่านมา ยังคงมีตัวเลขการเติบโตที่น่าพอใจ และมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 21 โครงการ มูลค่า 20,240 ล้านบาท ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อผลักดันให้ทะลุเป้ายอดขาย 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่เพียงการลงทุนในประเทศแต่ศุภาลัยกำลังมองโอกาสขยายการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วย
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในต่างประเทศเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.8 พันล้านบาท ไปยัง 3 ประเทศ คือ
ออสเตรเลีย มี 9 โครงการ
ฟิลิปปินส์ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลมูลค่ารวมราว 700 ล้านบาท และ
เวียดนาม โดยมีทั้งการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่นนั้นๆ โดยล่าสุดเพิ่งลงทุนในตราสารหนี้ (bond) ในบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ของเวียดนาม บริษัทโนวาแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาฯ อันดับสองของเวียดนาม มูลค่าลงทุน 100 กว่าล้านบาท ตราสารอายุ 3 ปี ได้ผลตอบแทน 13% ต่อปี ซึ่งปัจจุบันเหลืออายุไม่ถึงสองปี
“ถ้ามีโครงการดีเราก็จะลงทุนเพิ่ม” ดร.ประทีป กล่าวและว่า ตลาดอสังหาฯ ที่เวียดนามมีความต้องการเยอะ แต่กำลังซื้อมีน้อยแต่ดอกเบี้ย 10% กว่า ทำให้กำลังซื้อไม่ดี ค่าแรงขั้นต่ำที่เวียดนามอยู่ที่ 100 กว่าบาท ในขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้นไปสูงมาก
อย่างไรก็ตาม ดร.ประทีป กล่าวว่าทางบริษัทยังมองโอกาสลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มอาเซียน ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ซึ่งเชื่อว่ามีความต้องการของตลาดที่อยู่อาศัย แต่ยังมีอุปสรรคที่กำลังซื้อแต่ละประเทศยังไม่ดี และความไม่ชัดเจนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่มองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ
“กลุ่มประเทศอาเซียนเป็นกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วในโลก เราไปดูกัมพูชา เมียนมา มาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่ได้สรุปการลงทุน แต่มีพันธมิตรที่จะร่วมทุนแล้วแต่ยังไม่มีโครงการที่เหมาะสม” ดร.ประทีป กล่าวและว่าอีกปัญหาที่พบคือราคาที่ดินในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนา และเมียนมา ราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมากทำให้ตัดสินใจได้ยาก แต่ยังคงมีความสนใจที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่อง
“การลงทุนต่างประเทศ เป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มศักยภาพการเติบโต ประเทศไทยบางทีเรามีความเสี่ยงมากกว่าต่างประเทศ จึงมองโอกาสขยายความเสี่ยง” ดร.ประทีป ยังกล่าวถึงตลาดต่างชาติที่มาซื้ออสังหาฯไทยว่าเริ่มชะลอตัวลง เพราะค่าเงินบาทแข็งขึ้นทำให้ราคาอสังหาฯไทยแพงขึ้นประมาณ 10% สำหรับต่างชาติทำให้ตลาดหายไป โดยเฉพาะลูกค้าจีน
แต่ภาวะที่ค่าเงินบาทแข็งทำให้เรามองโอกาสขยายการลงทุนไปต่างประเทศ ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายการลงทุนในต่างประเทศไม่เกิน 10% ของทรัพย์สินที่บริษัทมีอยู่ 50,000 ล้านบาท เท่ากับเราจะสามารถลงทุนต่างประเทศได้ถึง 5,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันเพิ่งลงไปยังไม่ถึง 2,000 ล้านบาทจึงมองโอกาสที่จะขยายออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ลุยเปิดโครงการใหม่เป้าขายปีนี้ 3.5 หมื่นล้าน
ขณะที่
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนงานในครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯ เร่งรุกตลาดอสังหาฯ โดยเดินหน้าแผนงานเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 21 โครงการ มูลค่ากว่า 20,240 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค อาทิ
“ศุภาลัย ปาร์ค สถานีแยกไฟฉาย” ชูจุดเด่น “คอนโดฯ...ที่เพิ่มเวลาการใช้ชีวิตให้กับคุณ” บนทำเลถนนจรัญสนิทวงศ์ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย สถานีแยกไฟฉาย เพียง 330 เมตร พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 2 ไร่ ใกล้ชิดธรรมชาติ ราคาเริ่ม 2.03 ล้านบาท
ในครึ่งปีหลังเชื่อว่าบริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายที่เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่ที่ 35,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยสำคัญในเชิงบวก อย่างการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งล่าสุดก็มีการประกาศแผนนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และขยายเส้นทางระบบการคมนาคมในปัจจุบัน อาทิ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน บางซื่อ – หลักสอง ที่จะเปิดใช้อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้
รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่จะเปิดให้บริการ สถานีห้าแยกลาดพร้าว อย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหลายเส้นทาง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตขึ้นในอนาคต เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้ จะสามารถกระตุ้นกำลังซื้อภาคประชาชนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้งในด้านคุณภาพและราคา เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างต่อเนื่อง และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านอสังหาฯ ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมไปถึงการเล็งเห็นถึงความสำคัญของจังหวัดสำคัญต่างๆ โดยเปิดตัวไปช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ทั้งหมด 9 โครงการ รวมเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 19,760 ล้านบาท สามารถทำยอดขายอยู่ที่ 13,307 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายในส่วนโครงการคอนโดมิเนียม 44% และโครงการแนวราบ 56% สามารถทำรายได้รวม 10,892 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด
ขณะที่รายได้จากอสังหาริมทรัพย์สามารถแบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 55% และจากโครงการคอนโดมิเนียม 45% ด้านกำไรสุทธิ 2,293 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 38 % ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.4 % ต่อปี ณ 30 มิถุนายน 2562
บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (backlog) ประมาณ 43,434 ล้านบาท ณ 30 มิถุนายน 2562 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2562 จำนวน 10,189 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 33,245 ล้านบาท ในอีก 4 ปีถัดไป เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต
นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ “ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สุขุมวิท 107” มูลค่าโครงการประมาณ 2,400 ล้านบาท ราคาเริ่ม 1.78 ล้านบาท ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ Smart life