ดีเวลอปเปอร์มือเก๋าในแวดวงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่าง ชายนิด อรรถญาณสกุล แห่ง บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในวงการมายาวนาน ข้ามวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายรอบ ปีนี้แม้ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ยังไม่ดีนัก แต่ด้วยความที่เป็นมืออาชีพ เขามีแผนสร้างรายได้สร้างการเติบโตสวนทางเศรษฐกิจ
“ปีที่ผ่านมา แม้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัย แต่บริษัทยังมีผลประกอบการที่ดี โดยปี 2562 สามารถทำกำไรสูงสุดสร้างสถิติใหม่ในรอบ 16 ปี” ชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF ซีอีโอผู้ก่อตั้งพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวในงานแถลงข่าวที่จัดขึ้นสำหรับนักวิเคราะห์และสื่อมวลชน เพื่อบอกเล่าแผนงานและเป้าหมายการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ซึ่งจะเป็นอีกปีที่ยังมีความท้าทายมากมายต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งเขาบอกว่า เป็นปีที่จะถดถอยต่อเนื่องไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งการปรับตัวที่ทำให้แผนงานของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ปี 2563 จะมีไม่การลงทุนคอนโดมิเนียมใหม่เลย ยังคงเน้นขายโครงการที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้เป็นหลัก เพราะมองว่าตลาดไม่เอื้ออำนวย
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนงานในปีนี้ ชายนิด ย้ำว่าจะยังคงเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มบริษัท ทั้งการทำกำไรและการลดภาระหนี้ รวมทั้งรักษาอัตราการเติบโตทั้งจากการดำเนินงานปกติ และจากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีแผนร่วมมือกันพัฒนาโครงการในระยะยาวกับพันธมิตรต่างประเทศ 3 ราย คือ ฮ่องกงแลนด์, ซูมิโตโม ฟอเรสทรี และเซกิซุย เคมิคอล
โดยกับฮ่องกงแลนด์ มีความร่วมมือในการพัฒนาโครงการ “เลค เลเจ้นด์” บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ เปิดตัวในปีนี้ 2 โครงการ มูลค่ารวม 13,500 ล้านบาท ส่วนความร่วมมือกับซูมิโตโม ฟอเรสทรี นอกเหนือจากคอนโดมิเนียม ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาทแล้ว ในปีนี้จะร่วมกันพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลราชพฤกษ์ตัดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 3,900 ล้านบาท ส่วนการร่วมทุนกับเซกิซุย เคมิคอล ปีที่ผ่านมา มีการร่วมมือกันใน 4 ทำเล ปีนี้จะขยายเพิ่มอีก 1 ทำเล เป็นมูลค่ารวม 3,100 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมการร่วมทุนของกลุ่มบริษัทขณะนี้มีมูลค่าทั้งสิ้น 2.65 หมื่นล้านบาท เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัทยังประสบความสำเร็จจากโครงการ “ยู คิโรโระ” คอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่น ทำให้มีรายได้เข้ามา 1,700 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 2,600 ล้านบาท หรือ 70% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง สามารถโอนกรรมสิทธิ์ปิดโครงการได้ภายในปีนี้
เป้าขายปีนี้ 1.8 หมื่นล้าน
แผนงานในปี 2563 พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟควางเป้าขายไว้ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 1 หมื่นล้านบาท โครงการร่วมทุน 1,500 ล้านบาท คอนโดมิเนียมในประเทศ 4,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมประเทศญี่ปุ่น 2,000 ล้านบาท พร้อมกันนี้ยังมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 12 โครงการ มูลค่ารวม 1.85 หมื่นล้านบาท โดยเป็นบ้านเดี่ยว 10 โครงการ มูลค่า 1.71 หมื่นล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ มูลค่า 1,450 ล้านบาท
โดยโครงการเปิดตัวใหม่จะเป็นแนวราบทั้งหมด ซึ่งเป็นตลาดที่ยังเติบโต โดยบริษัทไม่มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ เนื่องจากปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมชะลอตัว ทำให้ยังมีซัพพลายเหลืออยู่มาก บริษัทยังมีการพัฒนาสินค้าให้รองรับกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น มีการพัฒนาบ้าน “ป้องกันฝุ่น PM2.5” ซึ่งเชื่อว่าปัญหาฝุ่น PM2.5 จะเป็นปัญหาที่ต่อเนื่อง โดยนอกจากการนำเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมาใช้กับบ้านในโครงการร่วมทุนกับเซกิซุย เคมิคอล แล้ว ยังร่วมกับเอสซีจีเป็นรายแรกในการพัฒนาระบบกรองอากาศป้องกันฝุ่น PM2.5 ทำงานร่วมกับระบบระบายอากาศ ติดตั้งในโครงการบ้านเดี่ยวทุกแบรนด์ ทุกระดับราคา
นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับไดกิ้นในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศกรองฝุ่น PM2.5 ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ, เลค เลเจ้นด์, เพอร์เฟค เพลส และ เพอร์เฟค พาร์ค โดยในปีนี้ยังต่อยอดในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่ 5,000 ต้นในโครงการต่างๆ การติดตั้งแผงโซลาร์ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้พลังงานสะอาดในสำนักงานและคลับเฮ้าส์ รวมทั้งยังมีการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ รวม 26 แบบในทุกระดับราคา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า และช่วยผลักดันยอดขายโครงการแนวราบอีกทางหนึ่ง
ด้านบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ Grand ซึ่งบริหารโดย วิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเผยว่าปีนี้ได้วางเป้ายอดขายไว้ 3,000 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 2,500 ล้านบาท และโครงการวิลล่าในจังหวัดระยอง 500 ล้านบาท ซึ่งกำหนดจะเปิดพรีเซลเฟสแรกในช่วงไตรมาส 2 เป็นวิลล่าหรู 103 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,307 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมายจะเป็นตลาดทั้งในและต่างประเทศ รองรับการเติบโตของระยองที่จะเกิดขึ้นทั้งจากเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา
สำหรับธุรกิจโรงแรม ปีที่ผ่านมาแกรนด์ แอสเสทฯ ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ ทำให้รายได้โรงแรมเติบโตจากการท่องเที่ยวภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น และปีที่ผ่านมายังเปิดดำเนินการโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท เต็มปี ทำให้รายได้ในปี 2562 เติบโตถึง 47.7% ในขณะที่ไตรมาสแรกของปีนี้ สถานการณ์ไวรัสระบาดมีผลกระทบอย่างมากกับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะโรงแรมที่มีฐานลูกค้าหลักเป็นชาวจีนและธุรกิจไมซ์ บวกกับปีนี้บริษัทมีแผนปรับปรุงโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน ส่งผลให้ประมาณการรายได้ปีนี้ลดลง คาดว่าธุรกิจโรงแรมภายในประเทศปีนี้จะมีรายได้รวม 2,000 ล้านบาท หรือลดลง 22.1% เมื่อเทียบกับปี 2562
เปิดแผนลดหนี้หมื่นล้าน
นอกจากแผนพัฒนาโครงการใหม่ และแผนลงทุนร่วมกับพันธมิตรต่างประเทศแล้ว ชายนิดย้ำว่าปีนี้จะเป็นอีกปีที่บริษัทสามารถลดหนี้ได้จำนวนมาก ซึ่งตามแผนงานวางไว้ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมาจากการตัดขายทรัพย์สินต่างๆ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ ซึ่งมียอดหนี้รวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในอัตราส่วนหนี้ต่อทุนที่ 1.7 ซึ่งหากดำเนินการขายทรัพย์สินได้ตามเป้าหมายจะทำให้สัดส่วนหนี้ต่อทุนลดเหลือ 1.5 โดยแผนขายทรัพย์สินประกอบด้วย การขายหุ้น 40% ในโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน เป็นยอดเงิน 2,500 ล้านบาท จากมูลค่าร่วม 6,000 ล้านบาท โอนโครงการคิโรโระ มูลค่า 1,500 ล้านบาท ขายที่ดินถนนรามอินทรา 2,500 ล้านบาท โครงการ Uniloft เชียงใหม่ 500 ล้านบาท และโรงเรียนนานาชาติ 500 ล้านบาท และขายที่ดินถนนรัชดาภิเษก (ตรงข้ามสถานทูตจีน) มูลค่า 2,500 ล้านบาท
“ถ้าทำได้ตามนี้เราก็จะสามารถลดหนี้ลงได้ 1 หมื่นล้านบาท จะทำให้อัตราส่วนหนี้ต่อทุนดีขึ้น ส่วนการซื้อที่ดินใหม่ ปีนี้คงจะมีโอกาสซื้อน้อยมาก เพราะเรามีที่ดินพร้อมสำหรับการพัฒนาอยู่แล้ว ประกอบกับราคาที่ดินปัจจุบันสูงเกินกว่าจะนำมาพัฒนาโครงการต่างๆ ให้มีกำไรได้ การซื้อที่ดินจะเป็นอีกกิจกรรมที่ลดลงสำหรับพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ชายนิดกล่าวในที่สุด
อ่านเพิ่มเติมไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine