เก่งกาจเกรียงไกร Bennett Rosenthal เจ้าของ ร่วมสโมสร LAFC คงต้อง ขอบคุณ Captain America ที่ทําให้เขาได้หลงรักกีฬาฟุตบอล เพราะนายทุนผู้นี้ได้เข้าไปคุม ทีมฟุตบอลของลูกสาวหลังจาก คุณพ่อของสมาชิกอีกคนคือ Joe Russo ผู้กํากับจากค่าย Marvel ต้องลาทีมไปถ่ายทํา ภาพยนตร์เรื่องที่ว่านี้

ไม่กี่เดือนหลังคว้าถ้วย Major League Soccer ปี 2022 สโมสร Los Angeles Football Club ขึ้นแท่น สโมสรมูลค่าหลักพันล้านแห่งแรกของลีก และด้วย เศรษฐีพันล้านจํานวนนับสิบที่เป็นเจ้าของสโมสรต่างๆ ในลีก สโมสรนี้จะไม่ใช่ที่สุดท้ายอย่างแน่นอน

ณ สถานที่ฝึกซ้อมของสโมสร Los Angeles Football Club ที่ University Hills ราว 10 สัปดาห์หลังจากได้ครองแชมป์การแข่งขัน Major League Soccer เป็นครั้งแรกผ่านการยิงจุดโทษที่ต้องลุ้นกันจนตัวโก่ง Bennett Rosenthal เจ้าของร่วม LAFC ยังคงตรึกตรองถึงความสำเร็จอันงดงามของทีมในฤดูกาลนี้ “ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตชนิดที่ไม่คิดไม่ฝัน” Rosenthal วัย 59 ปีกล่าว “ผมว่าพวกเราทุกคนยังคงยิ้มไม่หุบกันทุกวัน”

ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นให้ได้ฉลองอีกหลังจากที่ Forbes ประเมินว่าสโมสร LAFC มีมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพียง 9 ปี หลังเข้าร่วมการแข่งขัน MLS ด้วยเงินค่าเข้า 110 ล้านเหรียญ จนทำให้ทีมนี้กลายเป็นทีมมูลค่าหลักพันล้านเหรียญทีมแรกของลีก และมีมูลค่าเกินกว่าเท่าตัวของมูลค่าทีม 475 ล้านเหรียญที่ Forbes ประเมินทีมฟุตบอลในอเมริกาเหนือไว้ล่าสุดเมื่อปี 2019 แม้จะเป็นผลตอบแทนที่น่าประทับใจแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ Rosenthal คิดจะฝากผีฝากไข้ “เราไม่ได้ลงมือทำเพราะมองว่าน่าลงทุนมากที่สุด” ชายผู้ร่วมก่อตั้ง Ares Management ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมูลค่า 3.41 แสนล้านเหรียญ และทำเงินจากการมองหาโอกาสการลงทุนทางเลือกที่ทำกำไรได้อย่างงามกล่าว “เราเห็นว่าน่าสนุกดี และยังเป็นการลงทุนในระดับประเทศที่วางเดิมพันบนการเติบโตของกีฬาชนิดนี้ด้วย”

ขาขึ้นของสโมสร LAFC เป็นสัญญาณล่าสุดที่สะท้อนว่า MLS เติบโตมาไกลเพียงใดนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1996 ที่มี 10 ทีม ลงแข่งขัน กระทั่งปัจจุบันมีถึง 29 ทีม และสโมสร St. Louis City SC ยังมีกำหนดจะเปิดตัวในฤดูกาลนี้ โดยตั้งแต่ปี 2019 มูลค่าเฉลี่ยของแต่ละทีมเพิ่มขึ้น 85% จาก 313 ล้านเหรียญเป็น 579 ล้านเหรียญ และสนนราคาของการเข้าร่วมในลีกสำหรับทีมต่อไป (คาดว่าจะเป็น Las Vegas หรือ San Diego) อาจแตะหลัก 500 ล้านเหรียญตามข้อมูลจากแหล่งข่าววงใน ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมที่มหาเศรษฐี David Tepper จ่ายไปถึง 325 ล้านเหรียญเมื่อครั้งตั้งสโมสร Charlotte FC ในปี 2019

บรรดาเศรษฐีพันล้านต่างเชื่อมั่นในศักยภาพของ MLS กันมาอย่างยาวนาน ทั้ง Robert Kraft เจ้าของ New England Patriots และ Philip Anschutz เจ้าพ่อธุรกิจบันเทิงต่างเป็นเจ้าของในยุคบุกเบิกของทีมต่างๆ ใน MLS และยังมีอีกหลายคนรวมถึง Tepper หรือ Joe Mansueto (Chicago Fire, 2018) ผู้ก่อตั้ง Morningstar และ Ryan Smith (Real Salt Lake, 2022) จาก Qualtrics ที่ต่างตบเท้าลงสนามนี้จนส่งให้มูลค่าของทีมต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น

“การคุมทีม MLS ถือว่าเจอปัญหาวุ่นวายทางการเงินน้อยกว่ากีฬาชนิดอื่นๆ เราจึงได้เห็นว่ามีคนที่สามารถบริหารทีมได้มากกว่ากีฬาอื่นๆ” Rosenthal ผู้มีทรัพย์สินราว 1.3 พันล้านเหรียญกล่าว “แต่ผมมองว่าผู้คนชอบกีฬานี้และอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและการเติบโตนี้ด้วย” Forbes ประเมินว่า มีเศรษฐีพันล้านหรือสมาชิกในตระกูลของเศรษฐีพันล้านไม่ต่ำกว่า 19 คนที่ถือหุ้นก้อนโตอยู่ในบรรดาสโมสรต่างๆ ของ MLS Rosenthal ผู้ตกหลุมรักกีฬาฟุตบอลระหว่างช่วยคุมทีมของลูกสาวกับ Larry Berg จาก Apollo Global Management ซึ่งเล่นกีฬานี้มาตั้งแต่อายุได้ 8 ปี เข้ามาถือหุ้นส่วนหนึ่งของ LAFC เมื่อปี 2014 ทั้งคู่สนิทสนมกันมาก่อนจากโลกการลงทุนในบริษัทนอกตลาด และยังร่วมกันลงทุนในสโมสรฟุตบอลอิตาลีอย่าง A.S. Roma มาก่อนด้วย

“ถ้าให้พูดตามตรง ตอนนั้น MLS ยังไม่เย้ายวนใจเท่าไร” Berg กล่าว ต่อมาในปี 2016 พวกเขาเพิ่มเงินลงทุนและกลายเป็นเจ้าของร่วมที่บริหารสโมสร LAFC ด้วยกัน ร่วมกับ Brandon Beck ผู้ร่วมก่อตั้ง Riot Games ที่เข้ามาลงทุนเมื่อปี 2015 พวกเขาตกลงกันว่าจะผลัดกันเป็นเจ้าของหลักของทีมคนละ 4 ปี ซึ่ง Rosenthal ได้นั่งเก้าอี้นี้เมื่อเดือนมกราคม และในฐานะเป็นทีมที่คู่ควรของ Los Angeles จึงมีคนดังหลายต่อหลายคนทั้ง Will Ferrell, Magic Johnson และ Mia Hamm เข้าถือหุ้นส่วนน้อยในสโมสรนี้ โดยมี Peter Guber เจ้าของร่วมของ Golden State Warriors ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ นอกจากนี้ สโมสร LAFC ยังทุ่มงบ 350 ล้านเหรียญสร้างสนามฟุตบอลขนาด 22,000 ที่นั่ง พร้อมเดินสายจัดกิจกรรมตามบาร์และจัดงานรวมตัวต่างๆ เพื่อปลุกกระแส รวมทั้งยังทุ่มทุนพาแฟนบอลไปชมการแข่งขันไกลถึงเยอรมนีเพื่อเรียนรู้วิถีของแฟนบอลยุโรปอีกด้วย

การลงทุนเหล่านั้นให้ผลตอบแทนอย่างงดงาม เพราะการแข่งขันทุกนัดของ LAFC ทั้งในฤดูกาลปกติและรอบตัดเชือกขายตั๋วหมดเกลี้ยงทุกนัดตั้งแต่เริ่มเตะเมื่อปี 2018 บรรดาคนดังที่เป็นแฟนตัวยงปรากฏตัวให้เห็นบนอัฒจันทร์อยู่บ่อยครั้ง อย่างนัดชิงถ้วย MLS เมื่อเดือนพฤศจิกายนก็มี Justin Bieber และ Wiz Khalifa ร่วมชมด้วย ซึ่งปีที่แล้ว LAFC ทำกำไรจากการดำเนินงานได้ 8 ล้านเหรียญจากรายได้รวมสูงที่สุดในลีก 116 ล้านเหรียญ ที่ปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีกหลังจาก BMO ตอบตกลงจ่ายค่าเปลี่ยนชื่อสนามสัญญา 10 ปี มูลค่า 100 ล้านเหรียญ ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของลีก

คำถามตอนนี้คือ LAFC กับ MLS จะไปได้ไกลแค่ไหนเมื่อสโมสรมากกว่าครึ่งอยู่ในภาวะขาดทุน และด้วยรายได้เฉลี่ยเพียง 55 ล้านเหรียญก็ทำให้สโมสรจาก MLS ไม่มีทางแย่งชิงตัวผู้เล่นชั้นนำกับสโมสรฟุตบอลต่างๆ ในยุโรปได้ “พันล้านเหรียญเป็นตัวเลขที่สูงมาก มูลค่าสโมสรที่สูงกว่ารายได้ 8-9 เท่าตัวถือว่ามหาศาล โดยเฉพาะเมื่อติดขัดข้อจำกัดเรื่องลิขสิทธิ์การถ่ายทอด” Edwin E. Draughan รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ Park Lane ธนาคารเพื่อการลงทุนด้านกีฬากล่าว (ในทางกลับกัน Manchester United มีมูลค่า 4.6 พันล้านเหรียญ หรือสูงกว่ารายได้ 6.9 เท่า) อนาคตของนักลงทุนใน MLS ขึ้นอยู่กับการเติบโตของกีฬาฟุตบอลในอเมริกาเหนือซึ่งฝากความหวังเอาไว้กับรายการแข่งขันประจำปีระหว่าง MLS กับลีก Liga MX ของ Mexico ซึ่งจะเปิดสนามในปีนี้ และในปี 2026 กีฬาฟุตบอลน่าจะได้แรงส่งระลอกใหญ่เพิ่มจากการเป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลโลกครั้งถัดไปร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก

สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ข้อตกลงการขายลิขสิทธิ์สื่อกับ Apple ที่กุมลิขสิทธิ์การถ่ายทอดของลีกนี้ไว้ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ตามข้อตกลงนี้ MLS จะได้รับเงิน 2.5 พันล้านเหรียญในระยะเวลา 10 ปี หรืออาจจะมากกว่านี้โดยขึ้นกับยอดการสมัครสมาชิก แม้จะเป็นรายได้ก้อนโตแต่ก็ยังต่ำกว่าเป้าหมายรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดปีละ 300 ล้านเหรียญที่ทางลีกตั้งไว้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทาง MLS เองต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านการผลิต แม้ว่า MLS จะทำข้อตกลงเพิ่มเติมกับสถานีโทรทัศน์อย่าง Fox, Univision, TSN และ RDS แต่ก็ยังไม่มีรายการแข่งขันกีฬาลีกใหญ่ใดในอเมริกาเหนือที่มุ่งใช้กลยุทธ์แบบ streaming-first
ในลักษณะนี้มาก่อน “ทุกสิ่งคือการเดิมพัน” Rosenthal กล่าว “แต่เป็นการเดิมพัน อันชาญฉลาดอย่างยิ่ง”

อ่านเพิ่มเติม : จุมภฏ รวยเจริญทรัพย์ “โก๋แก่-โก๋ฟิล์ม” ธุรกิจ ชีวิต ความสุข

คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine