ทายาทรุ่นที่ห้าวางแผนสร้างความทันสมัยให้กับธุรกิจส่าหรีของครอบครัว
Lavanya Nalli กำลังตามความฝันในการทำให้ธุรกิจผ้าไหมของครอบครัวเป็นที่ต้องการเป็นอันดับหนึ่งของวงการผ้าส่าหรีโลก “ถ้าคิดถึงผ้าส่าหรี ก็ต้องคิดถึง Nalli” รองประธาน Nalli Group of Cos. วัย 31 ปี กล่าว บริษัทของเธอจำหน่ายผ้าส่าหรีปีละ 1.5 ล้านผืน “บริษัทควรจะเป็นผู้ให้ข้อมูลด้านผ้าส่าหรีที่น่าเชื่อถือที่สุด” เพื่อทำฝันให้สำเร็จ ลูกหลานรุ่นที่ห้าของตระกูล และเป็นผู้บริหารหญิงคนแรกของธุรกิจจำหน่ายผ้าไหมที่ทำรายได้ปีละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ วางแผนที่จะเพิ่มจำนวนร้านค้าและยอดขายเป็นสองเท่าในอีกสี่ปีข้างหน้า เธอตั้งใจจะใช้เงินสด 18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการขยายและพัฒนาธุรกิจ โดยตั้งเป้าเปิดสาขาในหัวเมืองรอง อาทิ Cochin, Pondicherry, Jaipur และ Chandigarh นอกจากนี้ เธอยังวางแผนเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ รวมไปถึงการนำระบบลูกค้าสัมพันธ์ และธุรกิจอัจฉริยะมาใช้ ระบบนี้ใช้ในการติดตามผู้ซื้อ เพื่อจะเข้าใจความต้องการของพวกเขา และวางระบบรักษาฐานลูกค้า (loyalty program) สำหรับบริษัทอายุ 88 ปี สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ผมทำธุรกิจโดยใช้ประสบการณ์และสัญชาตญาณ” Ramanathan Nalli วัย 56 ปี กล่าว เขาเป็นพ่อของ Lavanya และดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท “Lavanya นำเอาทั้งระบบ ความเคร่งครัด และระเบียบวินัยมาใช้ ลูกผมเป็นประเภทจอมวิเคราะห์” Ramanathan หลีกทางให้กับลูกสาวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา “คุณไม่สามารถมีผู้บริหารที่เป็นคนจากสองรุ่น” เขากล่าว Nirath น้องชายของ Lavanya มีตำแหน่งเป็นรองประธานคนที่สามและรับหน้าที่คุมธุรกิจเครื่องประดับของบริษัท ตำแหน่งประธานเป็นของ Nalli Kuppuswami Chetti คุณปู่วัย 75 ปี ของ Lavanya เขาดูแลร้านที่เป็นหลัก ตั้งอยู่บนพื้นที่ 50,000 ตารางฟุตใน Chennai โดยเป็นเจ้าของร่วมกับ Ramanathan ลูกชายเของเขาเองในสัดส่วนร้อยละ 75:25 ร้านสาขาอีก 30 แห่ง ใน 8 เมืองซึ่งรวมทั้ง Delhi Mumbai Bangalore และ Ahmeddabad ที่มีทั้ง Ramanathan และ Lavanya เอง รวมทั้งน้องชายของเธอเป็นเจ้าของร่วมกันและช่วยกันบริหารงาน บริษัท Nalli มีชื่อเสียงในด้านการตัดเย็บชุดสำหรับเจ้าสาวและยังจำหน่ายส่าหรีที่มีราคาตั้งแต่ 2.20 เหรียญสหรัฐฯ ไปจนถึง 3,100 เหรียญสหรัฐฯ บริษัทยังมีสาขาในประเทศสิงคโปร์ และที่ Mountain View รัฐ California ให้บริการลูกค้าชาวอินเดียที่เดินทางไปทำงานที่นั่น Lavanya ทำงานจาก Bangalore เธอวางแผนงานไว้หมดแล้ว จริงอยู่ที่ตลาดส่าหรีในอินเดียมูลค่า 6,000 ล้านเหรียญกำลังเติบโต แต่ก็เป็นตลาดที่ปราศจากระเบียบ วุ่นวาย และดาษดื่นไปด้วยคู่แข่งท้องถิ่น นอกจากนี้ “ตลาดส่าหรีในเมืองใหญ่ทุกเมืองจะมีผู้เล่นท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก พวกเขาเข้าใจความต้องการของตลาดขนาดย่อมดีมาก” Arvind Singhal กรรมการผู้จัดการ Technopak บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการกล่าว “ผู้ประกอบการส่าหรีที่มีศักยภาพมีอยู่นับร้อยๆ รายการเข้าไปแทนที่จึงไม่ใช่เรื่องง่าย” ยิ่งไปกว่านั้น ส่าหรีต้องเผชิญการแข่งขันจากผู้ประกอบการเสื้อผ้าจากตะวันตก รวมถึงเสื้อผ้าพื้นเมืองอินเดียอื่นๆ แต่ก็ได้ตัวช่วยจากการกลับมาเป็นที่นิยมของส่าหรี เมื่อผู้หญิงอินเดียยินดีที่จะจ่ายเงินเยอะขึ้นเพื่อซื้อส่าหรีที่สวยงามสำหรับใส่ในโอกาสรื่นเริงต่างๆ Technopak คาดการณ์อัตราเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีที่ร้อยละ 6.5 สำหรับส่าหรี ในช่วงปี 2015-2020 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 7 ในช่วงห้าปีก่อนหน้า Lavanya เติบโตมาโดยมีบริษัท Nalli เป็นฉากหลัง คุณปู่ทวดของเธอก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 1928 เขาเป็นผู้สืบเชื้อสายจากชุมชน “Shaliyar” ที่แปลว่าทอผ้า ในรัฐ Tamil Nadu ทางตอนใต้ของอินเดีย แต่เพิ่งปี 2004 ที่เธอเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง ขณะกำลังจะเป็นวิศวกรรมศาสตรบัณฑิตในสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัย Anna University ใน Chennai เธอฝึกงานที่บริษัท และได้ดูแลการติดตั้งระบบและซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการคลังสินค้า หลังจากเรียนจบในปี 2005 เธอมาทำงานเป็นพนักงานเต็มเวลาที่บริษัท โดยได้ดำเนินการขยายสาขาจากเดิม 14 สาขา เป็น 21 สาขา ในระยะเวลา 4 ปี เธอรู้สึกว่า Nalli เชี่ยวชาญการขายส่าหรีให้กับผู้หญิงที่สวมส่าหรีเป็นประจำอยู่แล้ว แต่กลับลืมที่จะใส่ใจบรรดาลูกสาวที่ติดตามแม่มาซื้อของด้วยความเบื่อหน่าย “ลูกสาวทั้งหลายมอง Nalli ว่าเป็น “‘ร้านเสื้อผ้าของแม่’” Lavanya กล่าว “เด็กสาวพวกนี้คิดว่า ‘Nalli มีแต่สินค้าเชยๆ แม่ฉันคงไม่ใส่เสื้อแขนกุดคล้องคอกับคริสตัล Swarovski หรอก แต่ฉันอยากได้แบบนั้น และที่ Nalli ก็ไม่มีให้ฉัน’ ที่จริงเรามีชุดส่าหรีแบบนั้น” เพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้าเหล่านี้ เธอจึงสร้าง Nalli Next ซึ่งมีส่าหรีหลากหลายประเภทกว่า ตั้งแต่ชุดทำงานไปจนถึงแฟชั่นดีไซเนอร์และชุดออกงานกลางคืน ที่ตัดเย็บด้วยวัตถุดิบหรูหรา เช่น ผ้าครีปส์และผ้าจอร์เจีย เธอยังขยายไลน์สินค้าไปยังเสื้อผ้าพื้นเมือง อาทิ ชุดสูท Salwar และชุด Lehangas ซึ่งเป็นชุดประจำชาติ แม้ว่าส่าหรีจะยังเป็นสินค้าหลักที่ทำรายได้ร้อยละ 90 ให้บริษัท ในปี 2009 Nalli เดินทางไปศึกษาต่อยัง Harvard Business School เมื่อเรียนจบ MBA เธอเข้าทำงานที่ McKinsey ใน Chicago ในตำแหน่ง Senior Associate ปี 2014 เธอร่วมงานกับ Myntra.com เว็บแฟชั่นชื่อดังของอินเดียในตำแหน่งรองประธานฝ่ายรายได้และประสบการณ์ลูกค้า ก่อนจะกลับไปทำงานกับธุรกิจครอบครัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเธอหวังว่าจะได้ใช้มุมมองที่ได้จากการทำงานที่ McKinsey และ Myntra ในการสร้างความเติบโตให้ Nalli แต่ขณะเดียวกันก็พยายามดึงจุดแข็งของบริษัทออกมาใช้ ได้แก่ การที่บริษัทมีศูนย์ทอผ้าของตัวเอง เชื่อมโยงกับเครือข่ายชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทอผ้าทั่วประเทศ Nalli เติมสต็อกสินค้าทุกเดือน ซึ่งแตกต่างจากผู้ค้าปลีกเสื้อผ้าส่วนใหญ่ ที่ต้องรอสต็อกใหม่ทุกๆ ไตรมาสหรือทุกฤดู เธอเชื่อว่า Nalli กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของศักราชใหม่ “ฉันมองเห็นโอกาสมากมายอยู่ตรงหน้า” เธอกล่าว “เราแก้ปัญหาส่วนที่ยากไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ การหาแหล่งสินค้า คน และการดำเนินธุรกิจ ตอนนี้เราจะลุยในเรื่องปริมาณ” เรื่อง: Anuradha Raghunathan เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรมคลิ๊กอ่าน "Asia's Power Bussiness Woman 2016" ฉบับเต็มไ ด้ที่ Forbes Thailand ฉบับ June 2016