“ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย” ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรหลานของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งครอบครัวรับราชการใกล้ชิดกับราชนิกุลไทยมาโดยตลอด เจเนอเรชั่นต่อเนื่องของ 'บ้านวัชโรทัย' ส่วนใหญ่จึงรับราชการเป็นหลัก มีเพียงหนุ่มน้อยหนึ่งเดียวของบ้านที่ตัดสินใจก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนมาลุยธุรกิจที่ตัวเองชอบ โดยยังไม่รู้ว่าความสำเร็จนั้นต้องใช้เวลาอีกกี่ปี แต่เขาก็ทำมันได้เกินความคาดหมาย
เพราะไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ความชอบ รสนิยม และความสุขจึงมีที่มาต่างกัน สำหรับเด็กหนุ่มทายาทสกุลดัง “ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย” หรือ “ปิ๊ง” นักธุรกิจหนุ่มวัย 30 ต้นๆ เขาเป็นบุตรชายคนโตของ วัชรกิติ วัชโรทัย และหลานชายของเลขาธิการพระราชวังแก้วขวัญ-ท่านผู้หญิง เพ็ญศรี วัชโรทัย เป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตมาในครอบครัวฐานะดีได้รับการเลี้ยงดูแบบคุณหนูมาตั้งแต่ต้น ทำให้คุ้นชินกับความหรูหราและบริการระดับพรีเมียม เขาจึงถวิลหาสิ่งเหล่านี้ในทุกๆ กิจกรรมที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยว การรับประทานอาหาร หรือแม้กระทั่งหน้าที่การงาน และการทำธุรกิจ- จากความชอบส่วนตัวสู่ธุรกิจ -
เมื่อความเรียบง่ายแบบข้าราชการไม่ตอบโจทย์ความต้องการในชีวิต ฐิตวัฒน์ และ ธัญชนก (ภรรยา) จึงร่วมกันก่อตั้งกิจการ “บลู โวยาจ ไทยแลนด์” (Blue Voyage Thailand) ธุรกิจให้บริการเช่าเรือยอช์ต (yacht) ขึ้นมา โดยให้บริการทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ครอบคลุมน่านน้ำไทยทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มีขนาดเรือให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ พร้อมบริการแบบพรีเมียมเทียบชั้นโรงแรม 5 ดาวที่เจ้าตัวบอกว่า “ธุรกิจนี้เกิดขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของตัวเองที่เป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยว ชอบเซอร์วิสที่ดูพรีเมียมอย่างมีรสนิยม” ความชอบเหล่านี้เป็นที่มาของธุรกิจให้เช่าเรือยอช์ต Blue Voyage Thailand ที่ให้บริการกิจกรรมที่ดูเหมือนจะมีไว้สำหรับบรรดาเศรษฐี เซเลบริตี้ และผู้มีกำลังซื้อเท่านั้น ซึ่งมีตลาดค่อนข้างจำกัด และด้วยความจำกัดนี่เองทำให้ธุรกิจเช่าเรือยอช์ต เมื่อ 7 ปีก่อนยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ ไม่มีใครทำในแบบที่ฐิตวัฒน์ต้องการ เขาจึงลุกขึ้นมาทำเอง เป็นธุรกิจให้เช่าเรือยอช์ต เพื่อการท่องเที่ยวแบบ private luxury ที่มีบริการครบถ้วนระดับพรีเมียม เพราะเขาหาบริการที่ว่านี้จากตลาดไม่เจอ เนื่องจากช่วงก่อนหน้านั้นมีแต่การให้เช่าเรือยอช์ตแบบนันเซอร์วิส คือเช่าเรือแล้วผู้เช่าต้องสรรหาสิ่งที่ต้องการไปด้วยตัวเอง ไม่มีบริการรอบด้านพร้อมสรรพแบบ Blue Voyage Thailand ที่มีทั้งบริการล่องเรือ แนะนำแหล่งท่องเที่ยว จัดเตรียมอาหารระดับ 5 ดาวและจัดกิจกรรมได้หลากหลายตามความต้องการ “ทุกวันนี้แข่งขันกันเยอะครับ ใครๆ ก็ลงมาทำ บางคนมีเรือ 1-2 ลำก็นำออกมาให้เช่า แต่ก็หลากหลายแตกต่างกันไปตามสภาพ ผมกล้ายืนยันว่าเราแตกต่าง” ฐิตวัฒน์เล่าให้ทีมงาน Forbes Thailand ฟังขณะให้สัมภาษณ์บนเรือยอช์ตหรูลำขนาดกลางราว 40-50 ฟุต ที่เขาบอกว่าเป็นขนาดที่ตลาดนิยมมากที่สุด มี 3 ห้องนอนรองรับนักเดินทางได้ราว 10-15 คนได้แบบสบายๆ ความต่างของ Blue Voyage Thailand นอกจากมีเรือให้บริการมากถึง 12 ลำ ในหลากหลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็ก 38 ฟุต ไปจนถึงขนาดใหญ่ 102 ฟุตแล้ว ยังมีบุคลากรพร้อมให้บริการ ทั้งกัปตันและลูกเรือมากประสบการณ์ จำนวนลูกเรือมากน้อยขึ้นอยู่กับขนาดของเรือ โดยเขายืนยันว่าตั้งแต่วันแรกที่เริ่มธุรกิจกระทั่งปัจจุบัน “Blue Voyage Thailand ยังคงเป็น No.1 Yacht Charter ในประเทศไทย”- ฉีกแนวค่านิยมครอบครัว -
แต่เส้นทางธุรกิจของฐิตวัฒน์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะการหันมาทำธุรกิจที่ตัวเองชอบไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวเขาต้องการ เนื่องจากเป็นครอบครัวข้าราชการ บิดาของเขาจึงต้องการให้ฐิตวัฒน์รับราชการเหมือนเช่นลูกหลานวัชโรทัยคนอื่นๆ แต่เขามองว่านั่นไม่ใช่แนวทางที่ชอบ ซึ่งในช่วงที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศใหม่ๆ ฐิตวัฒน์เคยรับราชการเป็นตำรวจ แต่ก็ทำได้ไม่นาน เขาตัดสินใจลาออกเพราะไม่ใช่งานที่ชอบ ไม่สนุก ไม่อิน และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเต็มที่ให้กับหน่วยราชการต้นสังกัดอย่างที่ควรจะเป็น “ผมลาออกจากตำรวจมองหาธุรกิจที่ชอบ เพราะผมชอบการท่องเที่ยว ชอบเที่ยวทะเล ชอบเดินทาง และไปที่แปลกๆ ใหม่ๆ เลยคิดว่าทำเรือยอช์ตนี่แหละตรงกับความชอบที่สุด” ฐิตวัฒน์เล่าอย่างเรียบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนมีบางสิ่งในใจ ทีมงานจึงอดถามไม่ได้ว่า ธุรกิจที่ทำนี้ทางครอบครัวสนับสนุนอย่างไรบ้าง เขาตอบในทันทีเลยว่า “ไม่เลยครับ ที่บ้านออกจะคัดค้านด้วย ทุกคนบอกว่า ทำราชการก็ดีอยู่แล้วจะออกมาทำอะไรแบบนี้ทำไม แล้วทำนี่จะไปรอดเหรอ จะมีกำไรเหรอ งานบริการคนอื่นเราจะทำได้เหรอ” เป็นคำถามที่มาพร้อมคำสบประมาท แต่คำทักท้วงเหล่านี้ไม่อาจหยุดความตั้งใจของฐิตวัฒน์ได้ เขาเริ่มต้นกิจการ Blue Voyage Thailand และเดินหน้าอย่างเต็มที่ โดยมีภรรยาเป็นพาร์ตเนอร์คนสำคัญ ที่เป็นทั้งหุ้นส่วนชีวิตและหุ้นส่วนธุรกิจไปกันได้ด้วยดีเพราะมีความชอบที่เหมือนกัน นับตั้งแต่คบกันมาจนกระทั่งแต่งงาน รวมถึงมาทำธุรกิจด้วยกันทุกอย่างลงตัว ทำให้กิจการ Blue Voyage Thailand เติบโตด้วยดีมาอย่างต่อเนื่อง- บริการเฉพาะบุคคล -
ปัจจุบัน Blue Voyage Thailand ให้บริการเช่าเรือยอช์ตล่องทะเลในพื้นที่พัทยา ภูเก็ต สมุย และกระบี่ โดยมีท่าเทียบเรือยอช์ตหลักๆ อยู่ที่พัทยาและภูเก็ต ซึ่งฐิตวัฒน์บอกว่า ได้รับความนิยมทุกพื้นที่ พัทยามีข้อได้เปรียบที่ท่าเทียบเรือที่โอเชี่ยนมารีน่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ และอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากกรุงเทพฯ มาใช้บริการมากหน่อย ส่วนที่ภูเก็ต สมุย และกระบี่ ตลาดมีทั้งคนไทยและต่างชาติ “เราให้บริการแทบไม่ต่างกันในแง่ของความพรีเมียมในการเซอร์วิส การจัดเซตอาหาร การจัดสถานที่ จัดกิจกรรมทั้งบนเรือ และกิจกรรมริมหาด มีบริการไม่ต่างกัน พิเศษและน่าประทับใจเหมือนกัน” เขาเล่าอย่างรวบรัดถึงบริการที่เตรียมความพร้อมให้ลูกค้า โดยลูกเรือที่มีประจำเรือทุกลำจะมีเชฟที่ทำอาหารได้ทั้งอาหารไทยและนานาชาติแล้วแต่ความต้องการของลูกค้า โดยทางบริษัทจะสอบถามลูกค้าก่อนว่า มาจากไหน ต้องการบริการอะไรเป็นพิเศษ และในเรื่องอาหารต้องการแนวไหน ก็จะจัดลูกเรือและเซฟให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า จะว่าไปก็เหมือนเป็นบริการแบบเฉพาะรายบุคคล เป็น tailor-made ก็ว่าได้ เพราะทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมให้พร้อมสำหรับบริการแขกในแต่ละทริปที่จองมาพร้อมข้อมูลความต้องการโดยละเอียด- กิจกรรมสีสันหลากหลาย และ Eco-Luxury ด้วยเรือหางยาว -
นอกเหนือไปจากนั้นคือ การใช้เรือแบบ catamaran หรือเรือสองท้องซึ่งจะมีสองท้องเรือคู่ขนานกัน สามารถเข้าถึงเกาะแก่งต่างๆ ได้ดีกว่า หากดูจากข้อมูลของนักล่องเรือจะทราบว่า เรือ catamaran นั้นสามารถเข้าได้ถึงหน้าหาดเลย โดยไม่ต้องกังวัลซึ่งหากไม่ทันดูว่าน้ำลงจนกระทั่งเรือออกไม่ได้ก็ไม่ต้องห่วง เพราะเรือชนิดนี้จะนั่งแท่นอยู่บน hull ทั้งสอง เท่ากับเรือยังคงยืนตรงๆ อยู่ได้อย่างสบายๆ และเรือทุกลำที่ Blue Voyage Thailand นำมาให้บริการล้วนเป็นเรือนำเข้าที่ต่อมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น ดังนั้น จึงมั่นใจได้ในเรื่องมาตรฐานสากลและสมรรถนะของเรือ ส่วนที่เหลือคือ การบริการ ซึ่งตามที่ฐิตวัฒน์บอกเขาการันตีเรื่องบริการระดับ 5 ดาว จึงเป็นเสน่ห์ที่แตกต่างในการเช่าเรือยอช์ตกับ Blue Voyage Thailand ฐิตวัฒน์เล่าว่า นอกจากเรือยอช์ตแล้ว เขายังได้ต่อเรือหางยาวแบบพิเศษไว้บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งเปิดให้บริการแล้วหลังจากเปิดตัวด้วยแคมเปญ “The Legend of Krabi” ซึ่งเป็นการเติมเต็มประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบ eco-luxury บนเรือหางยาวที่เขาการันตีว่าดีที่สุดในโลกจาก Blue Voyage Thailand ที่ประณีตทุกองค์ประกอบในการจัดเรือบริการที่จะพาลูกค้าย้อนเวลา สะท้อนวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มด่ำกับท้องทะเลกระบี่ในแบบที่ไม่มีที่ใดเทียบ ซึ่งในช่วงเปิดตัวจัดกิจกรรมเปิดตำนานแห่งการเดินทางบนท้องทะเลกระบี่ในแบบ luxury กับ Blue Voyage Luxury Long-Tail เรือหางยาวระดับพรีเมียม เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบ eco-luxury บนเรือหางยาวที่ดีที่สุด สามารถเลาะเลี้ยวแวะเที่ยวเกาะแก่งน้อยใหญ่ในกระบี่ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ “ผมตั้งใจว่าจะขยายพื้นที่การล่องเรือบริการออกไปเรื่อยๆ เชื่อว่าในภูมิภาคนี้ยังมีโอกาสอีกมาก แต่ก็คงต้องดูความพร้อมหลายอย่าง แต่ที่แน่นอนคือ บริการของ Blue Voyage Thailand จุดเด่นคือต้องบริการดีที่สุดด้วยเอกลักษณ์ในความพรีเมียม” นักธุรกิจหนุ่มกล่าวสรุปการสัมภาษณ์ในวันนั้นพร้อมบอกว่า ให้คอยติดตามความเติบโตของเขา ซึ่งเชื่อมั่นว่าการเดินทางท่องเที่ยวด้วยเรือยอช์ตจะเป็นกิจกรรมใหม่ที่มาแรง และจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และผู้คนก็จะสามารถเข้ามาใช้บริการได้มากขึ้น ภาพ: กิตติเดช เจริญพร และ Blue Voyage Thailand อ่านเพิ่มเติม:- ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย ล่องยอช์ตหรูระดับ 5 ดาว “BLUE VOYAGE” (VIDEO)
- “เอ พลาโน่ เทค” คิกออฟ METAVERSE CONCERT
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในรูปแบบ e-magazine