ทายาทคนที่ 2 ของ “บุญชัย พงษ์เภตรา” อดีตสมาชิกวุฒิสภา ผู้เริ่มก่อตั้งธุรกิจจากโรงเลื่อยแปรรูปไม้หมอนรถไฟที่อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันดำเนินกิจการภายใต้ชื่อเซ้าท์เทิร์น กรุ๊ป (Southern Group) เพิ่งฉลองครบรอบ 55 ปี เมื่อปลายปี 2567 ด้วยรายได้รวมกว่า 8 พันล้านบาท
บริษัทแรกของเซ้าท์เทิร์น กรุ๊ป คือ บจ. ศิลาชัยสุราษฎร์ จดทะเบียนก่อตั้งในปี 2509 ประกอบธุรกิจเหมืองหินที่ใช้ในการก่อสร้าง หลังจากนั้นเปิดบริษัทใหม่อีกหลายแห่งขยายไปยังธุรกิจเหมืองแร่ ท่าเทียบเรือ และธุรกิจสวนปาล์มและโรงงานปาล์มน้ำมัน ปัจจุบันเซ้าท์เทิร์น กรุ๊ป ดำเนินกิจการใน 3 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย
1. ธุรกิจสวนปาล์มและโรงงานปาล์มน้ำมัน ภายใต้กลุ่มบริษัททักษิณปาล์ม จังหวัดสุราษฎร์ธานี รองรับความต้องการของตลาดในประเทศ โดยมี ธนารักษ์ พงษ์เภตรา เป็นประธานกรรมการ ปี 2567 กลุ่มสวนปาล์มและโรงงานปาล์ม ภายใต้ บจ. ทักษิณปาล์ม (2521) มียอดขายรวม 1,910 ล้านบาท, บจ. ทักษิณอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (1993) มียอดขายรวม 1,865 ล้านบาท และกลุ่มอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน มียอดขายรวมประมาณ 3,775 ล้านบาท
2. กลุ่มยานยนต์ โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Honda ปี 2567 มียอดขายประมาณ 500 ล้านบาท
3. ธุรกิจเหมืองแร่และท่าเรือ กลุ่มนี้มี 10 บริษัท ประกอบด้วย บจ. โชคพนา (2512), บจ. โชคพนาไมนิ่ง จำกัด, บจ. ศิลาชัยสุราษฎร์, บจ. ครีเอทีฟมิเนอรัล, บจ. 39 ศิลาทอง, บจ. เจ.โอ.บี.คอนสตรัคชั่น, เซ้าเทิร์นพอร์ท, บจ. ทักษิณโดโลไมท์, บจ. ยูนิไมนิ่ง, บจ. ร้อยเกาะขนส่ง (2001)
ปี 2566 กลุ่มธุรกิจเหมืองแร่และท่าเรือมีรายได้รวมประมาณ 3,433 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 3,820 ล้านบาท ในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 11% จากปีก่อนหน้า และคาดการณ์ว่า ในปี 2568 รายได้กลุ่มฯ จะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10%

หนุ่มบัญชีนักบริหาร
“คุณพ่ออยู่สุราษฎร์ฯ และทำป่าไม้ เพื่อนที่มาเลย์ฯ สิงคโปร์ บอกให้หาแหล่งยิปซัมก็เลยลองดู และหาส่งไปให้เพื่อนไปที่สิงคโปร์” ช่วงแรกขนส่งสินค้าทางรถไฟ แต่มีข้อจำกัดบางประการ จึงเพิ่มการขนส่งทางเรือ ต่อมาจึงทำเทียบท่าเรือเองในนาม บจ. เซ้าเทิร์น พอร์ท
ดร.วิจักษ์ พงษ์เภตรา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจเหมืองแร่และท่าเรือ เซ้าเทิร์น กรุ๊ป ให้สัมภาษณ์ทีมงาน Forbes Thailand ที่อาคารเภตรา ซึ่งตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก เขาเป็นบุตรชายคนที่ 2 ของบุญชัย และเป็นน้องชายของธนารักษ์ เข้ามาช่วยงานธุรกิจของครอบครัวทันทีที่เรียนจบ โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาบัญชี จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และระดับปริญญาโทด้านการบัญชีจาก Georgia State University สหรัฐอเมริกา ต่อมาได้รับทุนศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย สาขาบริหารเทคโนโลยี เกี่ยวกับการวางแผนการเงินและธุรกิจ
“ผมไม่ได้ทำงานที่อื่นก่อนเลย จริงๆ แล้วอยากเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี เพราะเรียนบัญชีมาจากสหรัฐฯ เราชอบทางนี้ แต่ก็ต้องมาช่วย (ทางบ้าน) ส่วนมากเน้นงานบริหาร ตอนแรกทำธุรกิจโรงเลื่อยแปรรูปอยู่สุราษฎร์ฯ หลังจากนั้นก็ช่วยด้านยิปซัมส่งออกต่างประเทศ”

ปัจจุบันกลุ่มบริษัทผลิตและจำหน่ายสินค้าแร่และหินอุตสาหกรรม อาทิ แร่ยิปซัม แอนไฮไดรต์ โดโลไมท์ หินปูน หินแกรนิต ซึ่งจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปี 2567 มีปริมาณส่งออกสินค้าแร่ 2.4 ล้านตัน และเพิ่มเป็น 2.5 ตันในปี 2568 ส่วนกำลังผลิตหินอุตสาหกรรมปีละ 6.5 ล้านตัน โดยจำหน่ายในประเทศ 4 ล้านตัน ส่งออก 2.5 ล้านตัน
สำหรับสินค้าแร่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ 60% ส่งออก 40% รายได้ 60% มาจากการส่งออก ลูกค้าหลักคือญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน และมาเลเซีย
บริษัทมีแหล่งผลิตแร่ในหลายจังหวัด เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บจ. โชคพนาไมนิ่ง ซึ่งผลิตแร่ยิปซัม, แอนไฮไดรต์ และจะเพิ่มแหล่งผลิตในจังหวัดนครสวรรค์ เร็วๆ นี้ ส่วน บจ. ศิลาชัยสุราษฎร์ และ บจ. 39 ศิลาทอง จ. สุราษฎร์ธานี, บจ. ครีเอทีฟ มิเนอรัล จ. กระบี่ และ บจ. เจโอบี คอนสตรัคชั่น จ. ชลบุรี ผลิตหินอุตสาหกรรมการก่อสร้างชนิดโดโลไมต์, หินปูน และหินแกรนิต
ขณะที่ บจ. เซ้าเทิร์น พอร์ท ดำเนินธุรกิจท่าเรือในจังหวัดกระบี่ และจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อรองรับการส่งออกแร่ภายในกลุ่ม สามารถรองรับเรือบรรทุกขนาดมากกว่า 50,000 ตันต่อลำ “3-4 ปี ที่ผ่านมาความต้องการ (แร่) คงที่ เพราะเศรษฐกิจเอเชียค่อนข้างดี GDP อินโดนีเซียโต 5% มาเลเซีย 4.5% เวียดนาม 7% กัมพูชา ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ก็ยังสูง...สินค้าเราเป็นสินค้าสำหรับปูนซีเมนต์และอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งขึ้นกับการก่อสร้าง สัมพันธ์กับการเจริญเติบโตของประเทศนั้นๆ...ยอดขายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5-10% ส่วนตลาดในประเทศยังนิ่ง”
ดร.วิจักษ์เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ฟังราวกับว่า ทุกอย่างราบรื่นดี ทว่าหากย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ขณะที่เขาอายุประมาณ 40 ปี กลุ่มบริษัทประสบปัญหาครั้งใหญ่
“ปี 2540 เศรษฐกิจพังทั้งเอเชีย ทำให้ยอดขายหายไป 50% ก่อนหน้านั้นส่งออก 800,000 ตันต่อปีลดเหลือ 400,000 ตัน ประกอบกับเศรษฐกิจไม่ดี สถาบันการเงินเร่งรัดหนี้กันหมด ผมดูแลบริษัทแม่ซึ่งรับผิดชอบหนี้สูง ตอนนั้นมีหนี้ 300 ล้านบาท...เราใช้เวลาแก้หนี้ 7 ปี ต้องขอบคุณทีมงานบริษัท ทีมงานเก่าของคุณพ่อ เราตีหลักทรัพย์ชำระหนี้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคืนหนี้ เราคืนแบงก์ครบทุกบาททุกสตางค์ ด้วยเครดิตตรงนี้พอเราทำธุรกิจถึงจุดหนึ่งจึงสามารถขอสินเชื่อที่อื่น เพราะประวัติไม่เสีย”
หลังจากนั้นยอดขายเริ่มกลับมา ตลาดมีความต้องการมากขึ้น ราคาปรับเพิ่ม ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือกัน ไม่ขายตัดราคากันเอง ภาครัฐก็เข้ามาช่วยพยุงราคา
“ใช้เวลา 7 ปี (แก้ปัญหาหนี้สิน) เป็นประสบการณ์มีค่า ถ้าไม่ทำธุรกิจต้องปิดกิจการ เคยท้อเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นเรามารับผิดชอบ แต่เนื่องจากเราเป็นบริษัทแม่คือโชคพนา เป็นผู้กู้เงินให้บริษัทลูกยืมเพื่อ run ธุรกิจ พอตั้งตัวได้แล้วก็ปล่อยไป แต่ภาระหนี้บางส่วนอยู่ที่เรา ตอนนั้นโชคดีว่ามีหลักทรัพย์ค้ำประกัน บางส่วนตีหนี้สินชำระหนี้ไป และบางส่วนผ่อนจ่าย ต้องใช้หลายสูตรมาก แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของฝ่ายบริหาร ทีมงานวิศวกรเหมืองแร่ และพนักงาน การสนับสนุนที่ดีจากลูกค้าและสถาบันการเงิน ทำให้สามารถผ่านพ้นไปได้
“ข้อคิดที่ได้จากวิกฤตในครั้งนั้นคือ ผู้บริหารต้องมีความตั้งใจ รู้จริง ทำจริง อดทน เผชิญหน้ากับปัญหา และหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม พึงระลึกอยู่เสมอว่าผู้ประสบความสำเร็จ คือผู้หาแนวทางแก้ไขเมื่อเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ เมื่อล้มต้องรีบลุกขึ้นมาใหม่ คิดเสมอว่าวันนี้คือวันเริ่มต้นทำงานใหม่ จงเรียนรู้จากข้อผิดพลาด จากความสำเร็จของผู้บริหารและองค์กรชั้นนำเพื่อมาปรับใช้ในองค์กร”
ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจเหมืองแร่ บริษัทมุ่งเป้าไปที่การส่งออก และเขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้กลุ่มบริษัทเป็นที่รู้จัก และยอมรับในต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจส่งออก และการทำตลาดแร่และหินอุตสาหกรรมในประเทศมากกว่า 30 ปี จึงมีความสามารถในการขยายเหมืองแร่การผลิตใปในหลายจังหวัดทางภาคใต้ภาคตะวันออกและภาคกลาง
“ก่อนวิกฤตปี 2540 ผมมีประสบการณ์ขายแร่ยิปซัมหลายประเทศ และที่ภูมิใจคือสามารถชายแร่ไปตลาดญี่ปุ่นได้ ตลาดนี้ค้าขายยาก เงื่อนไขเยอะ ต้องเรียนรู้ ต้องมีความเชื่อมั่นมีความไว้วางใจสูง...เราค้าขายกับบริษัทข้ามชาติ ต่างประเทศ มีประสบการณ์ว่าการค้าขายกับต่างประเทศควรทำยังไง ตอนแรกส่งไปอินโดนีเซียก่อน จากนั้นมาเกาหลี ญี่ปุ่น” และอธิบายถึงสาเหตุที่ต้องเปิดตลาดต่างประเทศว่า ในประเทศมีเหมือง 6-7 แห่ง แต่มีโรงงานปูนซีเมนต์แห่งเดียว ต้องแข่งขันกันสูง จึงหันมาดูตลาดต่างประเทศ

เน้นตลาดเอเชีย
ทั้งนี้กลุ่มบริษัทผลิตและจำหน่ายสินแร่อุตสาหกรรมหลายชนิด ส่งให้กับลูกค้าหลายประเทศในเอเชียที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น แร่ยิปซัมและแอนไฮไดรต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบผลิตปูนซีเมนต์และยิปซัมบอร์ด ผลิตให้กับ Yoshino ประเทศญี่ปุ่น (ผลิตยิปซัมบอร์ด), Indo Cement ประเทศอินโดนีเซีย (ผลิตซีเมนต์)
แร่หินปูน, แร่โดโลไมต์ ผลิตและส่งให้กับ China Steel, Dragon Steel ประเทศไต้หวัน รวมทั้งมีโอกาสที่จะขยายตลาดโรงงานเหล็กญี่ปุ่นได้ในอนาคต ส่วนหินแกรนิตฝุ่นผลิตส่งให้ผู้รับเหมาประเทศสิงคโปร์ เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้าง
สินค้าส่งออกสำคัญของกลุ่มบริษัทคือแร่ยิปซัม ลูกค้าคือโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ผลิตยิปซัมบอร์ดในต่างประเทศ โดยขายผ่านบริษัทต่างประเทศ เช่น Itochu, Holcim, Nissie, Shunshing ส่วนตลาดในประเทศลูกค้ารายสำคัญ เช่น CPAC, บริษัทในเครือปูนซีเมนต์ไทย, บจ. ทักษิณคอนกรีต, บจ. ทิปโก้ และ บจ. พีระมิดคอนกรีต
ดร.วิจักษ์ย้ำว่า ความสำเร็จที่เห็นในวันนี้มาจากหลักการสำคัญที่กลุ่มบริษัทยึดถือคือ ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ การสร้างความน่าเชื่อถือแก่ลูกค้า การจัดส่งที่ตรงเวลา สามารถปรับเปลี่ยนสินค้าตามความต้องการของลูกค้า กลุ่มบริษัทมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินงาน รวมทั้งสร้างสมรรถนะให้แก่ทีมงานและพนักงานอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากแร่อุตสาหกรรมที่กลุ่มบริษัทดำเนินการผลิตและส่งออก ไม่ใช่แร่โลหะประเภทมูลค่าสูง เช่น ดีบุกหรือพลวง แต่เป็นแร่ที่มีราคาต่อหน่วยไม่สูง อาทิ ยิปซัม หินปูน และโดโลไมต์ ซึ่งเผชิญกับการแข่งขันอย่างเข้มข้นในตลาดโลก โดยเฉพาะจากประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ที่มีต้นทุนการผลิต และโครงสร้างสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งกว่า เช่น แร่ยิปซัมจากโอมาน, หินปูนและแร่โดโลไมต์จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, โดโลไมต์จากฟิลิปปินส์และเวียดนาม บริษัทจึงหาข้อได้เปรียบจากด้านอื่น
“ตัวอย่างเช่น ยิปซัม โอมานมาแย่งตลาดบางส่วน เราต้องวาง position สินค้าเขาราคาต่ำกว่า แต่คุณภาพของเราดีกว่า เพราะเปอร์เซ็นต์เคมีในแร่สูงกว่า ข้อดีอีกอย่างคือ (ระยะทาง) เราส่งแป๊บเดียวถึงแล้ว ตะวันออกกลาง (ขนส่ง) ครั้งหนึ่ง 50,000 ตัน (เพื่อให้คุ้มกับการเดินเรือ) แต่เราส่งแป๊บๆ ถึงแล้ว ไม่ต้องทำสต็อกเยอะ”
ความได้เปรียบอีกข้อหนึ่งคือ บริษัทสามารถส่งสินค้าให้กับประเทศเกาะต่างๆ โดยใช้เรือขนส่งขนาดเล็กที่สามารถเลาะร่องน้ำเข้าไป เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย แต่เรือใหญ่ของโอมานเข้าไม่ถึง เนื่องจากอยู่ไกลเวลาขนส่งจึงต้องสั่งจำนวนมาก หรืออินโดนีเซีย มาเลเซีย ที่มีโรงงานกระจายอยู่ตามเกาะต่างๆ ถ้าคู่แข่งต้องการส่งสินแร่ไปยังประเทศเหล่านี้ ต้องนำเรือเล็กไปด้วยเพื่อขนส่งตามร่องน้ำ
”หน้าที่หลักของผมคือหาแหล่งแร่ reserve ตลอดให้เพียงพออย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป เราต้องหาแหล่งไปเรื่อยๆ ใช้งบลงทุนปีละ 200-300 ล้านบาท...ต่างประเทศก็มีศึกษาอยู่ แต่ยังไม่ได้ไปเพราะบริหารจัดการยาก อย่างโอมานก็มีเพื่อนมาเสนอ เราไม่อยากไปมันไกล และกลัวว่าบริหารจัดการยาก เพราะบุคลากรทำงานไม่ตามแผน”
สำหรับแผนธุรกิจระยะ 3-5 ปีข้างหน้าคือ ลงทุนขยายการผลิตแร่ยิปซัม, แอนไฮไดรต์, โดโลไมต์ เนื่องจากมีความต้องการแร่อุตสาหกรรมเพิ่มเติมในอนาคต จากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เพิ่มการผลิตทรายจากหินฝุ่นในเขตจังหวัดที่ทรายขาดแคลน และธุรกิจก่อสร้างเจริญเติบโต เช่น จังหวัดภูเก็ต โดยเพิ่มการผลิตและร่วมมือกับเหมืองแร่อื่นๆ บริษัทเริ่มไลน์ผลิตทรายจากหินฝุ่นเมื่อปี 2563 เป้าหมายคือ zero waste และลดการใช้ทรายจากแม่น้ำ “หินฝุ่น” เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่ง ที่ผ่านมามียอดขายน้อยทำให้มีเหลือค้างสต็อก เช่น ผลิตมา 100% มี 20% เป็นสต็อกทิ้ง แต่ละเหมืองมีเหลือ เพื่อแก้ปัญหานี้ ดร.วิจักษ์ลงทุนซื้อเครื่องจักรจากอินเดีย 1 เครื่องราคา 35 ล้านบาท และนำหินฝุ่นมาเข้ากระบวนการแปลงให้เป็นวัตถุดิบสำหรับใช้แทนทราย ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 30,000 ตันต่อเดือน ขายได้ 100% และจะขยายไปยังจุดอื่นๆ “ผมจะพัฒนาตรงนี้เพิ่ม เพราะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมทางอ้อม ใช้ประโยชน์ได้...ตอนนี้ตลาดภูเก็ตเติบโต ใช้เยอะ”

แผนงานต่อไปคือ ให้บริษัทในไทยผลิตเครื่องจักรเอง ซึ่งต้นทุนจะถูกกว่าการนำเข้า และขยายกำลังการผลิต โดยเพิ่มจำนวนเครื่องจักรและนำไปวางที่เหมืองอื่นๆ ของกลุ่มบริษัทจากเดิมที่ผลิตเฉพาะในจังหวัดกระบี่ และร่วมมือกับเจ้าของเหมืองแร่รายอื่นๆ ที่มีหินฝุ่นค้างสต็อกและไม่ต้องการลงทุนเอง โดยกลุ่มบริษัทรับผิดชอบเครื่องจักรและการผลิต
“เรามี know-how และตลาด ผมส่งไปภูเก็ตอยู่แล้ว เฉพาะทรายตอนนี้ส่งขายในประเทศ แต่อนาคตมีแนวโน้มไปต่างประเทศ margin ไม่เยอะ แต่ทำให้ต้นทุนทั้งหมดลดลง จากเดิมเป็น waste กลายเป็นสินค้าใหม่ เป็นยอดขาย”
นอกจากนี้ จะเพิ่มการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น แร่ยิปซัม โดโลไมต์ สารปรับปรุงดิน ภาคการเกษตร สำหรับผลไม้ ปาล์ม ยางพารา ซึ่งมีการขยายการใช้งานไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
ในตอนท้าย ดร.วิจักษ์กล่าวว่า ท่ามกลางกระแสของโลกในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน กลุ่มบริษัทตระหนักถึงบทบาทของธุรกิจเหมืองแร่ในระบบนิเวศและสังคม จึงปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากล เหมืองแร่ในเครือได้รับรางวัลเหมืองสีเขียว จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม อีกทั้งยังนำมาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 มาใช้ในการควบคุมและพัฒนากระบวนการผลิต และอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อนำระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Roof) และเครื่องจักรระบบไฟฟ้ามาใช้ทดแทนพลังงานน้ำมัน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ Southern Group
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล คิดใหญ่ มองไกล นำ KBTG สู่ World-Class Digital-AI Banking
