"ทานตะวัน-ธีร์ ธีระโกเมน" 2 ทายาท MK ปรุงสูตรธุรกิจใหม่ให้หม้อไฟ 4 ทศวรรษ - Forbes Thailand

"ทานตะวัน-ธีร์ ธีระโกเมน" 2 ทายาท MK ปรุงสูตรธุรกิจใหม่ให้หม้อไฟ 4 ทศวรรษ

เมื่อเจนใหม่ของ ‘MK’ ไม่ได้แค่สืบทอดตำนานหม้อไฟ แต่กล้าปรุงรสธุรกิจให้เข้ากับยุคสมัย แบรนด์วัย 39 ปีจึงขยับสู่บุฟเฟ่ต์หลายระดับราคา ตั้งแต่พรีเมียมถึงราคาที่เข้าถึงง่าย ภายใต้การนำของ “ทานตะวัน ธีระโกเมน” และ “ธีร์ ธีระโกเมน” ทายาทรุ่น 2 ที่ใช้ดาต้าและอินไซต์ลูกค้าเป็นหัวใจของทุกการตัดสินใจ


    ตลาดร้านอาหารในไทยปี 2568 นี้คึกคักไม่ใช่น้อย ด้วยสารพัดกลยุทธ์ของแบรนด์ต่างๆ ที่งัดออกมาใช้ ตั้งแต่การ collaboration การออกแคมเปญพิเศษ จัดโปรโมชันลดราคา เปิดตัวโมเดลใหม่ ไปจนถึงขยายแบรนด์ใหม่

    หนึ่งในแบรนด์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ในปีนี้ คือ MK Restaurants จาก MK Group ร้านหม้อไฟที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 39 ปี ซึ่งปีนี้เรียกได้ว่าสาดอะไรใหม่ๆ แบบไม่มีพัก ไม่ว่าจะเป็น แคมเปญหมี่หยกยืนยาว เส้นหมี่หยกยาว 99 เซนติเมตร, การเปิดตัวบุฟเฟ่ต์ราคา 299 บาท, การประกาศเสิร์ฟเป็ดย่างไม่อั้นของบุฟเฟ่ต์พรีเมียม ฯลฯ รวมไปถึงการเปิดตัวแบรนด์ใหม่อย่าง Bonus Suki ที่เข้ามาท้าชนตลาดสุกี้ราคาประหยัดราคา 219 บาท

    ขณะที่ร้านสุกี้เจ้าดังแบรนด์อื่นๆ ก็งัดกลยุทธ์การตลาดมาใช้พร้อมๆ กัน ช่วงหนึ่งภาพรวมตลาดร้านสุกี้ในไทยจึงเหมือนอยู่ในสงคราม แต่ละฝ่ายงัดหมัดมาแลกกันหมัดต่อหมัด

    “MK Group เราใช้ดาต้าเป็นหลัก เพราะฉะนั้นกิจกรรมที่ทำออกมาเยอะๆ ก็มาจากดาต้าทั้งหมด” ทานตะวัน ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นบทสนทนากับ Forbes Thailand ถึงที่มาที่ไปของการออกแคมเปญรัวๆ ในช่วงปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการนำดาต้ามาใช้มากขึ้นในเรื่องการตลาด

    เธอบอกว่า MK Group มีการใช้ดาต้าอยู่แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลังบ้านของบริษัทเช่นการพัฒนาปรับปรุง ซึ่งอาศัยดาต้าเสมอ

    “เวลาเราจะปรับปรุงอะไรสักอย่าง ต้องไม่ใช่การคิดแล้วทำเลย ต้องมีข้อมูลที่มาซัพพอร์ต ไม่อย่างนั้นเราก็อาจจะเป๋ได้เหมือนกันว่า เอ๊ะ ทางที่เราเลือกเดินหรือสิ่งที่เราจะแก้ไขมันถูกหรือผิด ถ้าเกิดว่าเราใช้แค่ความรู้สึก ก็มีโอกาสผิดเยอะ เพราะฉะนั้นข้อมูลที่เราใช้ซัพพอร์ตในหลังบ้านถือว่าสำคัญมาก แล้วเราใช้ข้อมูลพวกนี้มาตลอด ตั้งแต่สมัยก่อนก็ใช้มาตลอด เพียงแต่ว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีมันดีขึ้น”

    เทคโนโลยีที่ดีขึ้น ไม่เพียงแต่ทำให้ MK Group ใช้ดาต้าในการปรับปรุงและพัฒนาได้ดีขึ้น แต่ยังทำให้สามารถ Grouping กลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

    ทานตะวันอธิบายว่าหลังจากบริษัทนำดาต้ามาทำ Grouping ลูกค้าเป็นเซ็กเมนต์ต่างๆ ก็จะมีการทดลองแคมเปญในสเกลเล็กๆ จากนั้นก็ขยายผล และสเกลการทดลองให้ใหญ่ขึ้น เป็นเหตุผลว่าทำไมปีนี้ MK ถึงมีความเคลื่อนไหวและมีแคมเปญต่างๆ ที่ออกมาตอบโจทย์ลูกค้าลงไปถึง sub-segment

    “บางกลุ่มเป็นกลุ่มครอบครัว เป็นผู้ใหญ่ การใช้จ่ายเป็นแบบหนึ่ง หรืออีกแคมเปญหนึ่งเราก็อาจจะทาร์เก็ตไปในกลุ่มที่เด็กลง หรือกลุ่มที่ต้องการมองหาความคุ้มค่าของมื้อหนึ่ง นอกจากนี้เรายังใช้ดาต้าทำเซ็กเมนต์ของสาขาด้วย ทำให้กิจกรรมที่เห็นเลยค่อนข้างเยอะพอสมควรในปีนี้”



    เธอยกตัวอย่างแคมเปญหมี่หยกยืนยาวที่ออกมาในช่วงตรุษจีน เนื่องจาก MK เป็น Top of Mind ในการเฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วันพ่อ วันแม่ วันปีใหม่ วันสงกรานต์ รวมถึงตรุษจีนที่ลูกค้าจะมาเฉลิมฉลองกันเป็นครอบครัว ซึ่ง MK มองว่าครอบครัวสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ละครอบครัวมีการผสมของคนในเจเนอเรชั่นต่างๆ มากขึ้น ตั้งแต่รุ่นอากง อาม่า ไปจนถึงเจนอัลฟา

    “เราคิดว่าจะทำยังไงให้การรับประทาน MK ในมื้อหนึ่งสนุกแต่ยังเอนจอยกับเมนูซิกเนเจอร์ของเราได้ เลยเป็นแคมเปญที่มาว่ามีหมี่หยกซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของ MK ออกมาเป็นหมี่มงคลที่เราตั้งใจเลยว่าไม่ตัด หมายถึงความยาวของบะหมี่คือ  99 เซนติเมตร ให้มงคลเหมือนกับตัวเลข เป็นการนำเสนอและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของ MK จาก core signature ในรูปแบบใหม่ทำให้ครอบครัวสามารถสนุกสนานไปบนโต๊ะอาหารและมีความประทับใจ” ทานตะวันเล่าพร้อมรอยยิ้ม


เพราะ ‘ดาต้า’ นำมาสู่บุฟเฟ่ต์ 299 บาท

    แน่นอนว่าการเปิดตัวบุฟเฟ่ต์ราคา 299 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ MK Restaurants ไม่เคยทำมาก่อน ก็มาจากดาต้าด้วย ทานตะวันบอกว่าก่อนหน้านี้ MK เคยเปิดตัวแคมเปญ ‘หมูมาราธอน’ ซึ่งคล้ายๆ กับบุฟเฟ่ต์ ในช่วงนั้นก็มีการเก็บดาต้าว่าลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเป็นกลุ่มไหน อายุเท่าไหร่ ในแต่ละภูมิภาครับประทานประมาณเท่าไหร่ แล้วนำดาต้าเหล่านั้นมาสร้างแคมเปญเพื่อต่อยอดให้ดีขึ้น

    “ก่อนหน้านี้เราทำบุฟเฟ่ต์อยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ใช่บุฟเฟ่ต์ใน tier ที่เป็น budget จะเป็นบุฟเฟ่ต์ใน tier กลางๆ ประมาณ 400–500 บาท เพราะฉะนั้นเราเห็นพฤติกรรมบางอย่างของลูกค้ากลุ่มบุฟเฟ่ต์กับกลุ่ม A La Carte ที่ไม่เหมือนกัน” ทานตะวันกล่าวถึงบุฟเฟ่ต์ของ MK ที่ก่อนหน้านี้เคยออกบุฟเฟ่ต์พรีเมียมราคา 440 บาท ขยับมาเป็นบุฟเฟ่ต์ 499 บาท 699 บาท และ 899 บาท

    “ในปีนี้ตลาดการแข่งขันค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งพรีเมียมหรือบุฟเฟ่ต์ในกลุ่ม budget ก็แข่งขันกันสูงมาก ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหม้อไฟอย่างเดียว หลาย format ก็แข่งกันสูง แต่ในหม้อไฟเองก็สูงเหมือนกัน เราเลยเห็น opportunity ในตลาด budget ด้วย บวกกับการจับจ่ายของผู้บริโภคเองในปีนี้ก็ค่อนข้างชะลอตัวพอสมควร ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่เรา launch แคมเปญเจาะตลาดนี้”



    แน่นอนว่าการกระโดดเข้ามาในสนามบุฟเฟ่ต์ราคาย่อมเยา ย่อมถูกถามถึงว่านี่เป็นการเข้ามาสู่สงครามราคาของยักษ์ใหญ่หรือเปล่า แต่ทานตะวันย้ำว่าไม่ได้มีความตั้งใจจะทำสงครามราคาอย่างแน่นอน แต่กลยุทธ์ที่ใช้ในปีนี้เป็น Pricing Strategy และ Product Mix

    “อย่างที่เห็นคือ MK ยังนำเสนอเมนูอาหารของ MK แบบเดิม คุณภาพของ MK แบบเดิมเลย เพราะฉะนั้นเรามีต้นทุนในการจัดการเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ซื้อหมูมาแล้วขายไป เรามีการคัดสรร ตรวจทุกอย่าง certify ทุกอย่างเพื่อคงคุณภาพของ MK

    “ถ้าเกิดทำสงครามราคาจริง เราคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่เรายังให้ความสำคัญมากกับเรื่องคุณภาพและบริการของ MK ซึ่งยังเป็นหัวใจในการทำบุฟเฟ่ต์ 299 บาท เรามีจุดแข็งตรงนี้ และรู้ว่าเรามีฐานลูกค้า มีจุดแข็ง มีเมนูต่างๆ (ราคา 299 บาท) ก็ถือว่าเป็นราคาที่เข้าถึงง่ายมากขึ้นสำหรับ MK มากกว่า” ทานตะวันกล่าว


    ความสำเร็จของบุฟเฟ่ต์ 299 บาท สร้างการเติบโตให้กับทั้งยอดขายในร้านที่เป็นบุฟเฟ่ต์ และร้านที่เป็น non-buffet ด้วย นอกจากนี้ยังได้ฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ก็มีอายุเด็กลง กว่าก่อนหน้า ไม่เพียงเท่านั้น ลูกค้ายังกลับมาใช้บริการมากขึ้นถึง 31% ด้วย

    เมื่อ Forbes Thailand ถามว่า การมีลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำมากขึ้นในช่วงนี้ แปลว่าก่อนหน้านี้ความถี่ในการมากิน MK ของลูกค้าน้อยลงหรือเปล่า ซึ่ง ‘ธีร์ ธีระโกเมน’ น้องชายของทานตะวัน อีกหนึ่งคนในเจเนเรชั่น 2 ที่เข้ามาร่วมบริหารในปัจจุบัน โดยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เขามองว่าการที่ลูกค้าเข้าร้านน้อยลงไม่ใช่เฉพาะแบรนด์ใดแบรน์หนึ่ง แต่เป็นภาพรวมของทั้งตลาด

    “บางครั้งลูกค้าอาจจะกินข้าวนอกบ้านน้อยลง เป็นความถี่ของทั้งตลาดมากกว่า ไม่ใช่เฉพาะแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง และตรงนี้ผมคิดว่ามันอาจจะมีผลกระทบจากเศรษฐกิจภาพใหญ่มากกว่า” ธีร์ระบุ


โมเดลเดียวไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้หมด

    นอกจากจะมีบุฟเฟ่ต์สุกี้ภายใต้แบรนด์ MK Restaurants ในหลายระดับราคาแล้ว ที่เป็นที่ฮือฮาในปีนี้คือการเปิดแบรนด์สุกี้น้องใหม่อย่าง Bonus Suki ราคาเริ่ม 219 บาท โดยมีสาขาแรกที่ จ.สระบุรี ก่อนขยายมาสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

    “เราศึกษาตลาดนี้มาในทุกระดับราคาของร้านอาหาร แต่ละระดับก็มีเซ็กเมนต์ของตัวเอง และในหนึ่งโมเดลก็ไม่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ได้แบบ 100% เพราะฉะนั้นการที่เราซอยบุฟเฟ่ต์ออกมาเป็น 3 tier หลักในกรุ๊ปเรา เพราะว่าตลาดแต่ละตลาดไม่เหมือนกัน แต่ละกลุ่มลูกค้าก็แตกต่างกัน อาจจะมีคำถามว่า 219 บาท กับ 299 บาท ราคามันต่างกันไม่เยอะ แต่ว่ากลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการไม่เหมือนกัน” ทานตะวันระบุ

    เธออธิบายอีกว่า ถ้าดูพฤติกรรมของ Bonus Suki ลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่เด็กลง มีความชอบและความต้องการไม่เหมือนของ MK ซึ่งรูปแบบของร้าน Bonus Suki ไม่ว่าจะเป็นอาหาร วิธีการบริการ เวลาเปิด-ปิด หรือโลเคชันของก็ไม่เหมือน MK เลยแม้แต่นิดเดียว

    “การที่เราเปิด Bonus Suki ขึ้นมา เพราะเราอยากได้ฐานลูกค้าที่ไม่ทับซ้อนกับลูกค้าเดิมของ MK เลยเป็นเซ็กเมนต์ที่เราเปิดขึ้นมาเพื่อรองรับ”

    ขณะที่ธีร์เผยว่า ผลตอบรับของ Bonus Suki ถือว่าดีเลยทีเดียว “วันที่เปิดวันแรกผลตอบรับดีมาก ตอนแรกเรานึกว่าเราอาจจะเป็นแค่จุดหนึ่งในสระบุรี แต่พอไปถึงวันแรก 7 โมงเช้ามีคนมาต่อคิวรอแล้ว เราตกใจเลย เพราะเราเปิด 10 โมงเช้า วันนั้นวันเดียวลูกค้าเยอะมาก เป็นฮันนีมูนพีเรียดเลย ลูกค้าเกือบ 2,000 คน เรามีความสุขมากที่โปรดักต์ที่เราดีไซน์มา ทีมทำงานกันอย่างหนัก มันตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีมาก”

    เท่ากับว่าในภาพรวมแล้ว ในเครือ MK นั้นมีสุกี้บุฟเฟ่ต์หลายระดับราคา ตั้งแต่ 219 บาท ไปจนถึง 899 บาท


    ธีร์ กล่าวว่า หลังจากที่เริ่มเห็นเซ็กเมนต์ของแต่ละ tier ชัดเจนขึ้น และฟังลูกค้ามากขึ้นจากการทำราคา 299 บาท ก็พบว่ามีอีกหลายสิ่งที่อยากนำเสนอในเชิงพรีเมียม เพราะราคา 299 บาทอาจถูกจำกัดเมนู ขณะที่ MK มีเมนูซิกเนเจอร์หลายอย่างที่ลูกค้าชื่นชอบ เช่น ขนมจีบ ซาลาเปา เป็ดย่าง เมนูเหล่านี้ก็จะตอบโจทย์ลูกค้าอีกเซ็กเมนต์ที่ไม่ได้ต้องการรับประทานแค่หม้อไฟ

    “ตอนแรก MK Gold อาจจะมีสาขาไม่เยอะมาก แต่ตอนนี้เราเห็นแล้วว่ามันมี opportunity ในการสร้างความชัดเจนผ่าน premium buffet มากขึ้น เราก็เลยบอกว่าควรไปทางนี้”

    ทานตะวันเสริมในประเด็นนี้ว่า MK 299 บาท ออกแบบมาเพื่อลูกค้าที่ชื่นชอบเมนูหม้อไฟเป็นหลัก ซึ่งเมนูอาจจะมีความหลากหลายได้ในระดับหนึ่ง “แต่ว่าสำหรับ MK lover จริงๆ ที่ชอบและเอนจอยอาหารของ MK ในทุกหมวด ไม่ว่าจะเป็นหม้อไฟ ติ่มซำ หรือเมนูจากครัวอย่างเป็ดย่าง รวมไปถึงเครื่องดื่มและขนมหวาน ก็ยังมีกลุ่มฐานแฟนที่ชอบสิ่งเหล่านี้ของเรามากเช่นกัน เป็นฐานแฟนเดิมที่อาจจะทาน MK Gold Buffet อยู่แล้วด้วย ก็เลยเป็นโมเดลที่เราทำขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้”

พรีเมียมบุฟเฟ่ต์


เจน 3 เสริมทัพสร้างปรากฏการณ์ใหม่ พร้อมรักษา culture ดั้งเดิม ‘ความใส่ใจ’

    จุดเริ่มต้นของ MK Group เกิดขึ้นเมื่อราว 40 ปีก่อน เดิมเป็นร้านอาหารของชาวฮ่องกงชื่อ มาคอง คิง ยี (Makong King Yee) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อร้าน MK ตัวร้านขายอาหารตามสั่งอยู่สยามสแควร์ ซอย 3 โดยมีคุณยายของทานตะวันและธีร์ (ทองคำ เมฆโต) เป็นแม่ครัวมือหนึ่ง กระทั่งวันหนึ่งเจ้าของเดิมย้ายไปอยู่อเมริกา จึงขายกิจการต่อให้กับคุณยาย

    ด้วยความที่ร้านเริ่มมีลูกค้าประจำ คุณยายจึงรับมาทำต่อ โดยมียุพิน คุณแม่ของทั้งคู่เป็นผู้ช่วย ในยุคนั้นที่ร้าน MK มีเมนูซิกเนเจอร์หลายอย่าง เช่น ราดหน้า ข้าวมันไก่ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนิสิตจุฬาฯ แต่มีลูกค้าประจำคนสำคัญคือ ‘สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์’ ซึ่งตอนนั้นจะเปิดเซ็นทรัลสาขาแรก และสนใจอยากให้ MK ไปเปิดร้านด้วย

    แม้ตัดสินใจอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดสาขาในห้างที่แรกที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ตอนนั้นยังขายอาหารตามสั่งเหมือนเดิม หลังจากนั้นเซ็นทรัลมีโจทย์ว่าอยากได้เมนูสุกี้ในห้างที่ใช้เตาไฟฟ้า ซึ่งในตอนนั้นประเทศไทยยังใช้เตาแก๊สอยู่ ‘ฤทธิ์ ธีระโกเมน’ จึงรับโจทย์ว่าจะออกแบบเตาไฟฟ้าโดยมีสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ลงทุนให้ และนั่นก็กลายเป็น ‘สุกี้ MK’ สาขาแรก ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ก่อนจะขยายกิจการเรื่อยมา

    ปัจจุบัน MK Group มีร้านอาหารในเครือกว่า 14 แบรนด์ ประกอบไปด้วยร้านสุกี้ อาหารญี่ปุ่น และอาหารไทย ครอบคลุมกว่า 700 สาขาในประเทศ และมีการขยายสาขาไปในต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ในเครือยังทำน้ำจิ้มสุกี้รูปแบบขวดจำหน่าย และมีธุรกิจขนส่งเย็น (Cold Chain) อย่าง บริษัท เอ็ม-เซนโค โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งให้บริการด้านโลจิสติกส์ในกลุ่มสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบครบวงจรด้วย

    ทานตะวัน และธีร์ คือธิดาและบุตรของ ‘ฤทธิ์ และ ยุพิน ธีระโกเมน’ แม้สองพี่น้องจะเริ่มเข้ามาทำงานใน MK ตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน แต่อันที่จริงเรียกได้ว่าทั้งคู่เติบโตมากับ MK ก็ว่าได้ วัยเด็กของทั้งสองคนนั้นใช้เวลาวันหยุดและปิดเทอมไปกับร้านอาหารของครอบครัว รับหน้าที่ตั้งแต่เสิร์ฟ รับออเดอร์ จนเรียกได้ว่าร้านอาหารกลายเป็น Passion ของทั้งคู่ไปแล้ว

    ธีร์เข้ามาทำงานในกิจการของครอบครัวก่อนทานตะวันเล็กน้อย โดยผู้เป็นพี่สาวไปหาประสบการณ์กับบริษัทอื่น ก่อนจะกลับมาทำงานใน MK Group บทบาทในช่วงแรกๆ ของเขาและเธอคือการดูแลเรื่องการตลาดในแต่ละแบรนด์ในเครือ ก่อนจะขยับเข้ามาดูโอเปอเรชั่นหน้าร้าน

    โดยปัจจุบัน ทานตะวันดูแลในส่วนของการตลาด การศึกษาลูกค้า ดูพฤติกรรมของลูกค้า นอกจากนี้ในพาร์ทของหลังบ้านก็ดูเรื่อง IT การวิจัยและพัฒนาในส่วนที่เกี่ยวกับลูกค้าโดยตรง

    ขณะที่ธีร์ส่วนใหญ่เป็นงานหน้าบ้าน โดยดูแลงานโอเปอเรชั่นของทุกสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังดูแลธุรกิจโลจิสติกส์ การจัดซื้อ และเทรนนิ่ง


อยู่ตรงนี้เพราะ Passion และโตมากับ MK

    แม้จะต้องบริหารกิจการหมื่นล้าน แต่ทั้งคู่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยได้รับแรงกดดันจากครอบครัว

    “ตอนแรกก็ไม่ได้กดดัน เพราะคิดว่าแค่เข้ามาทำงาน แต่พอทำไปเรื่อยๆ เราอยากทำให้ดีที่สุด เพราะเห็น passion ของคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ ท่านจะจูงเราไปตามสาขา เราเห็นสิ่งที่เขาใส่เข้าไปในร้าน ทั้งความทุ่มเท ความเอาใจใส่ ความรักที่เขาใส่ลงไปในนั้น เราอาจจะซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว เลยรู้สึกว่าไม่ได้กดดัน แต่เราอยากทำให้ดีที่สุดและสานต่อสิ่งนั้น” ธีร์ระบุ

    ขณะที่ทานตะวันกล่าวว่า เธอไม่เคยถูกคาดหวังจากครอบครัวว่าต้องมาทำกิจการของที่บ้าน อยากทำอะไรก็ได้หมด ทำให้เมื่อเรียนจบจึงไปทำงานที่อื่นเพื่อเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจ

    “อย่างที่ธีร์บอก ตอนเด็กๆ โตมาพร้อมกับ MK เลยก็ว่าได้ อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ร้านอาหารก็กลายเป็นหนึ่งใน passion ที่เราโตมาด้วย แม้ตอนออกไปทำงานข้างนอกก็ยังอยู่ในสายอาหารเหมือนกัน เลยเป็น passion หนึ่งของเรา จนวันหนึ่งเราอยากกลับมาลองทำที่บ้าน อยากเอาความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ที่สั่งสมจากข้างนอกมาช่วยได้บ้าง ก็เริ่มจากตรงนั้น”

    แน่นอนว่าสองพี่น้องอาศัยการเรียนรู้จากการทำงานจริงที่ลงไปทำในแต่ละแผนก และการขอความรู้จากพนักงานหลายคนที่อยู่กับ MK มายาวนาน เป็นดั่ง ‘ครอบครัว’ ที่ทานตะวันและธีร์สามารถขอความรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ได้ ขณะที่ฤทธิ์และยุพินก็ยังคอยให้คำแนะนำอยู่เสมอ

    “คุณพ่อกับคุณแม่เป็นคนละสายกัน แต่ว่าเป็นเหมือนหยิน-หยางที่บาลานซ์กันมาก คุณพ่อจบวิศวะ ก็จะสอนว่าตอนเข้ามาดูโอเปอเรชั่น อย่าโฟกัสแค่ผลลัพธ์อย่างเดียว แต่ต้องดู process ด้วย” ธีร์กล่าวถึงคำสอนจากพ่อ ซึ่งหมายถึงความสำเร็จของผลลัพธ์หนึ่ง อาจไม่สามารถใช้วิธีการเดิมซ้ำๆ ได้

    “ส่วนคุณแม่สอนว่า operation จริงๆ ต้องคุมคนด้วยใจ บางครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของชีวิตส่วนตัว เขามีปัญหาที่แก้ไม่ได้ หนึ่งเลยที่ต้องทำก่อนคือคุยกันด้วยใจ เพราะถ้าเราไปสั่งเลยว่า ‘แก้แบบนี้นะ’ บางทีมันไม่เกิดผล เพราะใจของเขายังไม่พร้อม ซึ่งจะกลายเป็น one-way communication”


    ทานตะวันมองเช่นเดียวกับธีร์ ที่มองว่าคุณพ่อและคุณแม่เป็นคนละแบบกัน “พ่อจะเป็นสาย office systematic ตัวเลข ในการทำให้ระบบเรียบร้อยและยั่งยืน ส่วนคุณแม่จะเป็นสาย hospitality เน้นเรื่องลูกค้า ต้องทำดีที่สุดให้กับลูกค้า ซึ่งเจตนารมณ์หลักตั้งแต่ริเริ่ม MK คุณยายอยู่ร้านเองทุกวัน เจตนารมณ์ของยายคือดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด ให้พนักงานดูแลกันเหมือนครอบครัว และถ้าเรามีแล้วต้องแบ่งปันคืนให้สังคมด้วย เพราะแผ่นดินนี้ให้เรามาค้าขาย เราก็ต้องตอบแทนกลับไป” เธอว่า

    ก่อนจะบอกว่า “เราถูกปลูกฝังแบบนี้ culture ขององค์กรเราก็เป็นแบบนี้ คนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยคุณยายก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ เรามีการผสมของคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ซึ่งทำให้ culture ของ MK อยู่กันแบบครอบครัว และเราสามารถส่งต่อเจตนารมณ์นี้ไปรุ่นต่อรุ่นได้”


หวังไปสู่ตลาดโลก

    ทิศทางของ MK ในมือของทานตะวันและธีร์ แน่นอนว่ายังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตให้ MK Group ภายใต้ความท้าทายของภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งผู้เล่นเดิม และผู้เล่นรายใหม่ๆ ที่เข้ามาในตลาด แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่มองว่าการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดรวมมีความเคลื่อนไหวและเติบโต ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจมากกว่า

    สำหรับ MK แล้ว ทานตะวันบอกว่าแน่นอนว่าจะเดินหน้าต่อ หลังจากที่ปีนี้ได้ทดลองโมเดลใหม่ๆ ไปหลายอย่าง เรียกได้ว่ายังอยู่ในช่วง learning ไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แบรนด์อื่นๆ ในเครือ ก็พยายามบริหารจัดการหลังบ้าน และจัดสรรกิจกรรมให้ตรงความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งคาดว่าจะค่อยๆ เห็นกลยุทธ์ต่างๆ ตามออกมา

    “อย่างที่บอกว่า MK มีพอร์ตในหลายเซ็กเมนต์ของร้านอาหาร หลายฟอร์แมต ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ไทย ซีฟู้ด หรือหม้อไฟ เพราะเรามีความหลากหลายแบบนี้ เราเห็นว่าตลาดใหญ่ยังมีพื้นที่อีกเยอะมาก เพราะฉะนั้นแบรนด์ใหญ่แบรนด์เดิมที่อาจจะเปลี่ยน format ไปก็ยังมีโอกาสอยู่มาก คิดว่านี่จะเป็นไดเรกชั่นของปีหน้าที่เราจะลุยเข้าไป” ทานตะวันระบุ


    ส่วนภาพไกลๆ เธอมองว่าอยากทำให้แต่ละแบรนด์ที่มีอยู่ตอนนี้เป็นแบรนด์ที่แข็งแรง ยั่งยืน ลูกค้าเชื่อมั่น “หรือในอนาคตเราหวังว่าแบรนด์ที่เรามีอยู่ รวมถึงแบรนด์น้องใหม่ จะพาเราไปสู่ตลาดโลกได้”

    ขณะที่ภาพไกลๆ ของธีร์ เขาบอกว่าอยาก MK Group ให้มีความหลากหลายของร้านอาหารมากขึ้น เพื่อให้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ลิ้มลอง ได้สัมผัสรสชาติใหม่ๆ หรือ experience ใหม่ๆ ผ่านการรับประทานอาหาร ซึ่งเป็น passion ของบริษัท “เราตั้งใจทำให้ดีที่สุด และในทุกแบรนด์ที่อยู่ในเครือ เราก็อยากให้เป็นแบรนด์ที่อยู่ได้ยาวนาน ครบร้อยปีหรือเกินร้อยปีขึ้นไป” ธีร์กล่าว

    ก่อนที่ทานตะวันจะเสริมทิ้งท้ายว่า “เราอยากให้ในความเชื่อขององค์กรเรา คนไทยทั้งประเทศสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพได้จริงๆ อาหารเป็นสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นชีวิตแต่ละวัน ไม่ว่าจะระยะสั้นหรือระยะยาว อาหารคือเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นเราอยากทำให้อาหารที่มีคุณภาพเข้าถึงได้ง่าย และทำให้ดีที่สุด”



ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ MK Group



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ฉลองยอดขายโตต่อเนื่อง 42% MK ขยายโปรบุฟเฟต์ต่ออีก 1 เดือน พร้อมเพิ่มสาขาเป็น 299 สาขาทั่วประเทศ

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine