เทพพันธ์ อัศวะธนกุล คลื่นลูกใหม่ธุรกิจประกันภัยเปิดฉากนำทีมนวัตกรรมและกลยุทธ์สร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกในโลกกับ InsurTech ปฏิวัติวงการประกันภัยรถยนต์ ด้วยการใช้ IoT ตอบดีมานด์ยุคดิจิทัล พร้อมเดินเกมรุกเทคโนโลยี wearables ฉีกกรอบประกันสุขภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย
ภาพลักษณ์ขององค์กรประกันภัยเก่าแก่ที่มีอายุเกือบ 7 ทศวรรษกำลังจะเปลี่ยนไปจากฝีมือและความเพียรพยายามของลูกไม้ใกล้ต้น ที่เล็งเห็นความสำคัญในการสานต่อความยั่งยืนทางธุรกิจบนพื้นฐานของการพัฒนานวัตกรรม โดยไม่จำกัดกรอบเฉพาะการประกัน เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคไทยได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด และสอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก “คุณพ่อไม่เคยบอกว่าต้องเข้ามาทำ และไม่ได้เตรียมความพร้อมเพื่อทำธุรกิจนี้ แต่ตอนเด็กเข้ามาที่นี่ตลอด ซึ่งลึกๆ รู้อยู่แล้วว่าสักวันต้องเข้ามาทำ แต่คุณพ่อไม่เคยบอกว่าเมื่อไร หรือต้องเตรียมตัวอะไร เราจึงเลือกเรียนอย่างอิสระ เพราะชอบเรื่องตัวเลขตั้งแต่เด็กและเก่งเรื่องเลข ซึ่งระหว่างนั้นเราได้เรียนโปรแกรมหลายอย่าง เช่น ดนตรี โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจของ Kellogg” เทพพันธ์ อัศวะธนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) เล่าถึงการให้อิสระในการตัดสินใจของจีรพันธ์ผู้เป็นบิดา ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ในปัจจุบัน “ก่อนร่วมงานที่ BCG มีเวลาว่าง 3 เดือน เพื่อนที่จบ MBA ด้วยกันอยากมาเที่ยวเมืองไทย เราจึงชวนให้เขามา internship ที่บริษัทกับเรา นั่นเป็นจุดแรกที่เริ่มเข้ามาทำงานที่ไทยวิวัฒน์และ internship ซึ่งคุณพ่อให้อิสระทำอะไรก็ได้ ช่วงนั้นเราได้ทำวิจัยตลาดประกันภัยว่าพร้อมเข้าสู่อี-คอมเมิร์ซหรือยัง หลังจากทำแล้วรู้สึกว่า add value จริง ทำแล้วเห็นผลที่เกิดขึ้น และช่วงที่ทำ BCG ก็มีโปรเจ็กต์เกี่ยวกับประกันเยอะมากหรือหลายบริษัทเริ่มมีอะไรใหม่ๆ เราจึงอยากกลับมาช่วยคุณพ่อ บวกกับเวลานั้นคุณพ่อมีไอเดียเรื่องประกันรถเปิดปิด เราจึงอาสามาช่วย execute ให้”- ประกันรถเปิดปิดพิสูจน์ฝีมือ

- คิดนอกกรอบประกันสุขภาพ
 สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทในปัจจุบันแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประกันภัยรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง รวมทั้งประกันภัยเบ็ดเตล็ด เช่น ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลประกันอุบัติเหตุการเดินทาง ประกันสุขภาพเป็นต้น ด้วยเบี้ย ประกันภัยรับโดยตรงรวมในปี 2562 อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท หรือเติบโตกว่า 16% ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมธุรกิจประกันวินาศภัยที่ขยายตัว 5%
“เราเชื่อว่าในอนาคตประกันสุขภาพน่าจะโตกว่า motor เมื่อคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เขาก็ต้องการเรื่องสุขภาพ แต่เราต้องทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นด้วย โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้าประกันสุขภาพน่าจะมีสัดส่วนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเท่ารถยนต์ และอีก 5 ปีอาจจะโตกว่ารถยนต์ เพราะในภาพรวมอัตราการเข้าถึงในเมืองไทยยังน้อยมาก ถ้านำเบี้ยหารด้วย GDP ประเทศไทยยังอยู่แค่ 5% เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว 17-20% หรือทั้งโลกประมาณ 7% ถ้าตัดประกันชีวิตออกมีเฉพาะประกันวินาศภัย ตอนนี้แค่ 1.5%”
ดังนั้น ผลิตภัณฑ์การประกันภัยล่าสุดของบริษัทจึงมุ่งเน้นที่การพัฒนานวัตกรรม InsurTech ภายใต้แนวคิดหลักประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองและดูแลในยามเจ็บป่วย รวมถึงการลดความเสี่ยงด้านสุขภาพให้ผู้ใช้บริการมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วประเทศ
สำหรับความแตกต่างของประกันสุขภาพ Thaivivat Active Health อยู่ที่การส่งเสริมให้ผู้ซื้อประกันออกกำลังกายและดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยเทคโนโลยี wearables และมอบสิทธิพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำด้านสุขภาพ พร้อมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชันแจ้งสถานะความ active ของผู้ใช้บริการแบบเรียลไทม์ และฟังก์ชัน Gamification สร้างคอมมูนิตี้ตลอดจนบริการด้านข้อมูลต่างๆ เช่น การค้นหาสถานพยาบาล และ digital care card ผ่านแอปพลิเคชันสามารถแสดงกับสถานพยาบาลที่ใช้บริการได้
“เราวางเป้าหมายเบี้ยรับขั้นต่ำสิ้นปี 5 พันล้านบาทขึ้นไป และรายได้ประมาณ 80% ของเบี้ยรับ รวมถึงภาพลักษณ์ในการเป็นผู้นำนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย”
สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทในปัจจุบันแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประกันภัยรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง รวมทั้งประกันภัยเบ็ดเตล็ด เช่น ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลประกันอุบัติเหตุการเดินทาง ประกันสุขภาพเป็นต้น ด้วยเบี้ย ประกันภัยรับโดยตรงรวมในปี 2562 อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท หรือเติบโตกว่า 16% ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมธุรกิจประกันวินาศภัยที่ขยายตัว 5%
“เราเชื่อว่าในอนาคตประกันสุขภาพน่าจะโตกว่า motor เมื่อคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เขาก็ต้องการเรื่องสุขภาพ แต่เราต้องทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นด้วย โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้าประกันสุขภาพน่าจะมีสัดส่วนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเท่ารถยนต์ และอีก 5 ปีอาจจะโตกว่ารถยนต์ เพราะในภาพรวมอัตราการเข้าถึงในเมืองไทยยังน้อยมาก ถ้านำเบี้ยหารด้วย GDP ประเทศไทยยังอยู่แค่ 5% เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว 17-20% หรือทั้งโลกประมาณ 7% ถ้าตัดประกันชีวิตออกมีเฉพาะประกันวินาศภัย ตอนนี้แค่ 1.5%”
ดังนั้น ผลิตภัณฑ์การประกันภัยล่าสุดของบริษัทจึงมุ่งเน้นที่การพัฒนานวัตกรรม InsurTech ภายใต้แนวคิดหลักประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองและดูแลในยามเจ็บป่วย รวมถึงการลดความเสี่ยงด้านสุขภาพให้ผู้ใช้บริการมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั่วประเทศ
สำหรับความแตกต่างของประกันสุขภาพ Thaivivat Active Health อยู่ที่การส่งเสริมให้ผู้ซื้อประกันออกกำลังกายและดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยเทคโนโลยี wearables และมอบสิทธิพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำด้านสุขภาพ พร้อมทั้งพัฒนาแอปพลิเคชันแจ้งสถานะความ active ของผู้ใช้บริการแบบเรียลไทม์ และฟังก์ชัน Gamification สร้างคอมมูนิตี้ตลอดจนบริการด้านข้อมูลต่างๆ เช่น การค้นหาสถานพยาบาล และ digital care card ผ่านแอปพลิเคชันสามารถแสดงกับสถานพยาบาลที่ใช้บริการได้
“เราวางเป้าหมายเบี้ยรับขั้นต่ำสิ้นปี 5 พันล้านบาทขึ้นไป และรายได้ประมาณ 80% ของเบี้ยรับ รวมถึงภาพลักษณ์ในการเป็นผู้นำนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย”
 ขณะที่หนึ่งในคีย์ความสำเร็จที่ทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมาเกิดจากการสร้างนวัตกรรมที่ใช้ได้จริงกับคนไทย เพื่อสร้างทางเลือกที่ดีให้ผู้บริโภค ด้วยการเน้นให้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง customer centric รวมถึงให้การประกันภัยเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย และจะยังคงพัฒนาเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผู้บริโภค และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นตามวิสัยทัศน์ “คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต”
“การแข่งขันสูงมากในธุรกิจประกันภัยแต่เรามองว่า เราอาจจะไม่ใช่ประกันที่ถูกที่สุด แต่ถ้า value to money เราน่าจะดีที่สุดในด้านความคุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมาเราโตภายในแบบสม่ำเสมอ หรือ organic growth แต่ถ้าเราเติบโตได้เร็วขึ้น เราต้องดูภายในด้วยว่าพร้อมรับงานเข้ามามากขนาดไหน ดังนั้น ปีนี้เราต้องปรับภายในด้วย กระบวนการต่างๆ การเคลม การบริการ ระบบออโตเมชั่น ระบบ AI เข้ามาช่วยให้การทำงานรวดเร็วและตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น”
ขณะที่หนึ่งในคีย์ความสำเร็จที่ทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมาเกิดจากการสร้างนวัตกรรมที่ใช้ได้จริงกับคนไทย เพื่อสร้างทางเลือกที่ดีให้ผู้บริโภค ด้วยการเน้นให้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง customer centric รวมถึงให้การประกันภัยเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย และจะยังคงพัฒนาเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผู้บริโภค และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นตามวิสัยทัศน์ “คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต”
“การแข่งขันสูงมากในธุรกิจประกันภัยแต่เรามองว่า เราอาจจะไม่ใช่ประกันที่ถูกที่สุด แต่ถ้า value to money เราน่าจะดีที่สุดในด้านความคุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมาเราโตภายในแบบสม่ำเสมอ หรือ organic growth แต่ถ้าเราเติบโตได้เร็วขึ้น เราต้องดูภายในด้วยว่าพร้อมรับงานเข้ามามากขนาดไหน ดังนั้น ปีนี้เราต้องปรับภายในด้วย กระบวนการต่างๆ การเคลม การบริการ ระบบออโตเมชั่น ระบบ AI เข้ามาช่วยให้การทำงานรวดเร็วและตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น”
 
คลิกอ่านฉบับเต็ม “เทพพันธ์ อัศวะธนกุล ไทยวิวัฒน์พลิกมิติ InsurTech” ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine



