อิทธิพล ปฏิมาวิรุจน์ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “พาเลซ” แบรนด์นมข้มหวานที่คนไทยคุ้นเคย - Forbes Thailand

อิทธิพล ปฏิมาวิรุจน์ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “พาเลซ” แบรนด์นมข้มหวานที่คนไทยคุ้นเคย

ด้วยความที่เติบโตและคลุกคลีมากับธุรกิจอาหาร ทำให้ตั้งแต่เล็กจนโต โอ๋-อิทธิพล ปฏิมาวิรุจน์ ได้มีโอกาสคลุกคลีกับธุรกิจของครอบครัวมาโดยตลอดจนเรียกว่าอยู่ในสายเลือด แม้ทางบ้านจะไม่ได้บังคับว่าต้องขีดเส้นอนาคตแบบไหน แต่ในฐานะลูกชายคนโต เขารู้ดีว่า วันข้างหน้าต้องกลับมาเป็นเสาหลักของครอบครัว จึงเลือกเรียนต่อด้านวิศวะ ก่อนจะติดอาวุธด้านการบริหารธุรกิจในเวลาต่อมา ทำให้กลายเป็นผู้บริหารที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ สามารถเข้าถึงทั้งงานในโรงงาน และเข้าใจความต้องการของลูกค้า แบบครบจบในคนเดียว จนไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไม ”พาเลซ” แบรนด์น้องใหม่ในวงการนมข้นหวานถึงเติบโตได้แบบก้าวกระโดด และกลายเป็นผู้เล่นในตลาดที่น่าจับตามอง พลิกโฉมจากแบรนด์ที่มีอยู่ตามร้านกาแฟสู่แบรนด์ที่พร้อมส่งตรงความอร่อยถึงมือผู้บริโภคทุกครัวเรือน จนมียอดขายถึง 1,800 ล้านบาท หลังจากบุกตลาดได้เพียง 10 ปี “ครอบครัวผมอยู่ในธุรกิจอาหารมา 47 ปีแล้ว ผมเองมีโอกาสเข้ามาช่วยงานที่บ้านมาโดยตลอดตั้งแต่เล็กจนโต จนเรียนจบกลับมา เป็นช่วงที่ธุรกิจกำลังขยายฐานจากธุรกิจเดิมที่จำกัดอยู่ในกลุ่มอาหารสำหรับผู้ประกอบการ เราเริ่มสนใจตลาดนมข้นหวาน ที่กระจายเข้าสู่ทุกครัวเรือน เพราะมีลูกค้าทั่วประเทศ และอัตราการเติบโตดีสม่ำเสมอ  บวกกับมีทีมงานคุณภาพที่พร้อมจะมาเติมเต็มด้าน know-how เลยตัดสินใจเพิ่มเข้ามาเป็นอีกหนึ่งหน่วยธุรกิจในบริษัทฯ” กรรมการบริหารบริษัท เดลี่ฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมข้นหวานภายใต้แบรนด์พาเลซ พาย้อนวันวานไปสู่จุดกำเนิดของนมข้นหวานที่เขามีส่วนร่วมตั้งแต่วันแรก “ตอนที่โปรเจกต์นี้เริ่ม ผมเพิ่งอายุ 20 กว่าๆ กำลังเป็นคนหนุ่มไฟแรง ผมอาศัยความรู้ และ ประสบการณ์ที่เคยทำงานบริษัทใหญ่ มาปรับเปลี่ยนการบริหารแบบครอบครัวให้เป็นระบบ ผมยอมรับว่าไม่ได้เก่งตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา แต่อาศัยการเรียนรู้และสังเกต พร้อมดึงความเก่งของทีมงานแต่ละคนเข้ามาประกอบกัน” ถามว่าทำไมต้องชื่อแบรนด์พาเลซ (Palace) ผู้บริหารคนเก่งคลี่ยิ้ม ก่อนเฉลยแบบตรงๆ ว่า “จริงๆ มีหลายชื่อ แต่ผมว่าชื่อนี้ดูแกรนด์ และดูแพงดี เพราะมีความหมายว่าพระราชวัง สะท้อนไปถึงคุณภาพของสินค้าที่ พวกเราตั้งใจทำให้ดีด้วย” แม้ชื่อแบรนด์จะมาแกรนด์ แต่ก้าวแรกของแบรนด์พาเลซอาจไม่ได้แกรนด์นัก เพราะด้วยความที่ตั้งต้นจากบริษัทเล็กๆ การจะปั้นแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักขึ้นไปเทียบชั้นเจ้าตลาดที่มาก่อนหลายสิบปี คงเป็นเรื่องยาก แถมต้องใช้งบการตลาดสูง ผู้บริหารไฟแรงจึงเลือกที่จะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป แทนที่จะเจาะตลาดแมส เขาเลือกกระจายสินค้าเข้าไปยังกลุ่มธุรกิจอย่างร้านกาแฟ เพื่อให้ผู้ใช้ได้คุ้นเคยและยอมรับกับคุณภาพสินค้าก่อน ทำให้ช่วงแรกๆลูกค้าติดภาพว่านมข้นหวานพาเลซมีแต่ร้านกาแฟที่ใช้ ทั้งที่จริงๆ แล้ว พาเลซขยายผ่านทุกช่องทางการจำหน่าย ทั้งห้างสรรพสินค้า ศูนย์กระจายสินค้า รวมไปถึงร้านค้าประจำท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการรับผลิต OEM ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ “เราถือเป็นเจ้าแรกที่เปิดตลาดนี้ ซึ่งข้อดีคือ ทำให้เราบริหารกำลังการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยลดต้นทุน และยังเป็นการยกระดับการผลิตในโรงงานของเราให้ได้มาตรฐาน ตามคุณภาพและความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ทั้งแบรนด์ไทย และ แบรนด์ต่างประเทศ” โอ๋ ค่อยๆ ฉายภาพให้เห็นถึงเส้นทางการเติบโตของแบรนด์ก่อนเสริมว่า “จุดเด่นของแบรนด์พาเลซจากวันนั้นถึงวันนี้ คือ ความพิถีพิถัน เอาใจใส่ในทุกขั้นตอน ทั้งการคัดสรรวัตถุดิบ การปรับปรุงกระบวนการผลิต ตลอดถึงประสิทธิภาพในการขนส่ง จนถึงมือลูกค้าทุกท่าน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับความพึงพอใจอย่างสูงสุดแทบจะทุกขั้นตอน ผมมองว่าธุรกิจอาหารเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เหมือนการทำอาหาร การใส่ส่วนผสมก่อนหลัง การควบคุมไฟ ระยะเวลาในการปรุง ล้วนมีผลต่อรสชาติของอาหารในแต่ละจาน ด้วยประสบการณ์ที่เราอยู่ในธุรกิจนี้มานาน ทำให้เราแตกฉาน และรู้ว่าต้องใส่ใจดูแลในส่วนไหนเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือต้องให้เกิดประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตมากที่สุด ซึ่งส่งผลไปถึงความสามารถในการแข่งขันของเรา” จากก้าวแรกในวันที่พาเลซเริ่มต้นจากแบรนด์นมข้นหวานน้องใหม่ในตลาด โอ๋ ย้ำชัดว่า ในเวลานั้น เขาไม่ได้วาดฝันว่าจะต้องก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของวงการ แค่คิดบนพื้นฐานง่ายๆ แต่ทำยากว่า ขอให้ธุรกิจอยู่รอด ได้มาร์เกตแชร์เพิ่มขึ้น 10-15% ก็ดีใจแล้ว หลังจากตั้งไข่ได้ค่อยวางแผนว่าจะพาธุรกิจไปสู่จุดไหน 10 ปีเต็มบนเส้นทางที่ไม่ได้หวานสมชื่อที่ผู้บริหารคนเก่งได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและพาแบรนด์มาแตะยอดขาย 1,800 ล้านบาทได้อย่างเต็มภาคภูมิ “ปีที่น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ เป็นช่วงที่ทุกธุรกิจเผชิญกับวิกฤต แต่ผมใช้วิกฤตนั้นเป็นโอกาส พยายามหากลยุทธ์เพื่อรับมือกับวิกฤตตรงหน้า ตั้งแต่การจัดการกับวัตถุดิบเพื่อให้สายการผลิตของเราไม่สะดุด จัดการกับระบบโลจิสติกส์เพื่อให้ยังสามารถกระจายสินค้าได้ พร้อมดูแลคลังสินค้าให้สามารถรองรับปริมาณวัตถุดิบและสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด จนทำให้ในที่สุดเราสามารถทำยอดขายได้แตะ 1,800 ล้านบาท หลายคนบอกว่าเร็วมาก แต่ผมคิดว่าน่าจะเร็วกว่านี้ด้วยซ้ำ (หัวเราะ)” สำหรับเป้าหมายต่อไป โอ๋ชวนคิดอย่างน่าสนใจว่า แม้ธุรกิจอาหารจะดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากการดิสรัปชั่นโดยตรง แต่ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป บวกกับกระแสสุขภาพที่มาแรง ก็ทำให้เป็นโจทย์ใหญ่และยากที่จะพัฒนาให้สินค้าตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภค “ตอนนี้เราก็มีหลายๆ แนวทาง ที่ผ่านมาเรามีการเปลี่ยนแปลงเรื่องแพคเกจจิ้งให้สะดวก ใช้งานและเก็บง่าย สร้างความต้องการของลูกค้าด้วยการพัฒนารสชาติใหม่ๆ อย่าง งาดำ (เราเป็นเจ้าแรก) ช็อกโกแลต สตรอเบอร์รี่ ซึ่งเราใช้ผลสตรอเบอร์รี่จริงๆ ไม่ใช่แค่แต่งกลิ่นหรือรสชาติ และยังเพิ่มการขยายช่องทาง ทางการขายผ่าน ออนไลน์ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ในปัจจุปัน ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูสดใส เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านกิจกรรมดี ๆ ตลอดปี โดยเริ่ม ในวันที่ 27 เม.ย.นี้ เราจะมี “Palace The Concert --More than sweet” โดยมีโต๋ – ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร และ เบน – ชลาทิศ ตันติวุฒิ มาร่วมมอบความสุข ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่เราตั้งใจใช้เสียงเพลงเป็นสื่อกลางเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้มีช่วงเวลาแห่งความประทับใจร่วมกัน” ผู้บริหารคนเก่งทิ้งท้าย (สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2562)