การสานต่ออาณาจักรสารปรุงแต่งและวัตถุเจือปนในอาหารคนและอาหารสัตว์ให้พร้อมเดินหน้ารับความเปลี่ยนแปลงเทรนด์อาหารในอนาคตของ พัชร์ เอกปัญญาสกุล ด้วยการนำนวัตกรรมและประสบการณ์มากกว่า 4 ทศวรรษ พร้อมยกระดับธุรกิจครอบครัวสู่มหาชนสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
เบื้องหลังการแต่งกลิ่น สี รส ในอาหารและเครื่องปรุงที่ผสมในอาหารคาวหวาน ไม่ว่าจะเป็นเบเกอรี่ เครื่อดื่ม ขนมหวาน เนื้อสัตว์แปรรูป อาหารเสริมผลิตภัณฑ์จากนมและแป้ง ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจยาวนานมากกว่า 40 ปี ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายวัตถุดิบ สารปรุงแต่ง วัตถุเจือปนอาหาร วัตถุแต่งกลิ่นรส สารเสริมอาหารและเครื่องปรุง โดยครอบคลุมผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์ที่มีความหลากหลายรวมกว่า 1,000 SKU
“สมัยอากงเปิดร้านขาย food ingredient แถววงเวียน 22 เป็นหน้าร้านขายแบบ cash and carry โดยถามความต้องการของแม่ค้าพ่อค้าและนำสินค้าเข้ามาขาย ซึ่งคุณพ่อเข้ามาต่อยอดธุรกิจ โดยขยายกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอาหารและเปิดระบบเครดิตเพิ่ม ซึ่งเริ่มจากการหาคู่ค้าที่เป็นผู้ผลิตต่างประเทศและสินค้านำเทรนด์ หรือหาสินค้าเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
โดยลูกค้าสามารถให้โจทย์ความต้องการและบริษัทจะดำเนินการหาสินค้าให้จากทั่วทุกมุมโลกเป็น global sourcing ซึ่งเรายังมีการสร้างคุณค่าให้กับสินค้าด้วยทีม R&D ผลิตสินค้านวัตกรรม พร้อมทีมเซลส์และนักวิชาการให้ความรู้หรือคำแนะนำการเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน สูตรสินค้า และบริการหลังการขายโดยสมัยนั้นถือว่าเรามีซัพพลายเออร์หรือผู้ผลิตจำนวนมากประมาณ 30 กว่ารายในพอร์ต ทำให้เรามีความได้เปรียบเรื่องความโดดเด่นด้านสินค้าที่ไม่มีใครเหมือน”
พัชร์ เอกปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวทรีชั่น เอสซี จำกัด (มหาชน) หรือ NTSC กล่าวถึงการเริ่มต้นธุรกิจของครอบครัวโดยบิดา (ดร.สุรเดช เอกปัญญาสกุล) และมารดา (ดร.ชุตินันท์ สนั่นเสียง) ร่วมกันก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด นิวทรีชั่น ในปี 2524 ซึ่งต่อมาได้แปรสภาพเป็น บริษัท นิวทรีชั่น จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจจำหน่ายสารปรุงแต่ง วัตถุดิบ วัตถุเจือปนในอาหารคนและสัตว์ ยา และเครื่องสำอางก่อนจะขยายไปยังอุตสาหกรรมทั่วไป เช่นกาวและเคมีภัณฑ์ ในปี 2531
“เราเห็นการทำงานและพัฒนาการของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เพราะอายุน้อยกว่าธุรกิจ 1 ปี และคุณพ่อให้ช่วยทำงานตั้งแต่ชั้นป ประถม อย่างผลิตภัณฑ์บรรจุซองสมัยก่อนเราต้องนับสีใส่กล่อง ซีลฟิล์ม จัดเรียงและติดสติ๊กเกอร์ ทำให้ซึมซับและผูกพันกับธุรกิจของครอบครัว โดยส่วนตัวเรายังถือความกตัญญูเป็นสำคัญ
เมื่อคุณพ่อคุณแม่อยากให้ทำตรงนี้เราก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถซึ่งคุณพ่อไม่ได้บอกว่าต้องจบ Food Science โดยตรง เราจึงเลือกเรียน Microbiology เกี่ยวกับจุลินทรีย์จากความชอบของเรา ซึ่งในปัจจุบันไบโอเทคเป็นเรื่องสำคัญที่สอดคล้องกับเขตร้อนของบ้านเราที่จุลินทรีย์มีประโยชน์มากและสามารถปรับใช้กับธุรกิจได้ จนถึงปริญญาโทที่เราเบนเข็มมาด้านธุรกิจ เพราะชอบงานติดต่อพูดคุยกับคน และซึมซับการทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก”
ในฐานะทายาทที่เกิดและเติบโตพร้อมธุรกิจของครอบครัวทำให้พัชร์เลือกศึกษาปริญญาตรี Microbiology & Immunology จาก McGill University ประเทศแคนาดา และศึกษาต่อปริญญาโท Microbiology & Immunology ที่ The University of British Columbia ประเทศแคนาดา
ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทยและเริ่มต้นทำงานกับครอบครัวเต็มตัวจากนักวิชาการของบริษัทหรือ Technical Advisor ซึ่งสามารถนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้คำแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับลูกค้า รวมถึงได้รับมอบหมายให้ดูแลซัพพลายเออร์และทีมงานประมาณ 3 ปีจึงศึกษาปริญญาเอก Technopreneurship & Innovation Management ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ขณะเดียวกันพัชร์ยังสามารถแสดงฝีมือการบริหารงานในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท นิวโวเทค จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ของครอบครัวที่ขยายไปยังการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายวัตถุดิบวัตถุที่เติม (feed additives), วัตถุที่เป็นสื่อ(carrier), วัตถุที่ผสมแล้ว (premix), อาหารเสริม (supplement) ในอาหารสัตว์ (feed และ pet foods) เมื่อปี 2547 และนั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวทรีชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในปี 2552 จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจส่งมอบไม้ต่อให้นำทัพอาณาจักรธุรกิจของครอบครัวในปี 2560
“เรากลับมาที่เมืองไทยและทำงานได้ประมาณ 3 ปีจึงเริ่มมองหาการเรียนที่น่าจะสามารถนำมาต่อยอดกับธุรกิจได้ ทำให้ตัดสินใจเรียนปริญญาเอกด้านนวัตกรรมและการจัดการเทคโนโลยี เพราะสามารถประยุกต์กับธุรกิจและสอดคล้องกับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของเรา ซึ่งช่วงนั้นก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจนจบก็ยิงยาว
โดยเราเริ่มจากทำงานนักวิชาการของบริษัทและเพิ่มความรับผิดชอบมาเรื่อยๆ จนขยายธุรกิจอาหารสัตว์ คุณพ่อให้เราเป็น General Manager และเห็นว่าเราสามารถบริหารได้จึงขยับให้ดูแลนิวทรีชั่น เอสซี ที่มีขนาดใหญ่กว่าจนถึงวันนี้ ซึ่งคุณพ่อยังให้คำแนะนำปรึกษาจากประสบการณ์ที่ช่วยให้เราไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินลอง หรือเกิดความผิดพลาด ส่วนพี่ชาย 2 คนดูแลคนละบริษัท แบ่งการบริหารกันชัดเจน เพื่อให้ต่างคนต่างเติบโตในสิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบ”
เติมเต็มดีมานด์แต่งอาหาร
ภายในอาณาจักรการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายวัตถุดิบ สารปรุงแต่ง และวัตถุเจือปนในอาหารคนและอาหารสัตว์เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบส่วนผสมในการปรุงอาหาร พัชร์มุ่งมั่นสานต่อกลยุทธ์การพัฒนาด้านบริการและการผลิตทุกขั้นตอนเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าสูงสุด
ม่ว่าจะเป็นการจัดหาผลิตภัณฑ์ตามสูตรการผลิตและนำเสนอแนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่และปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้คุณภาพและประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นหรือลดต้นทุนการผลิตลง รวมถึงการว่าจ้างให้บริษัทคิดสูตรการผลิต ดำเนินการผลิตและขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ได้
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีฝ่ายพัฒนาธุรกิจใหม่และฝ่ายผลิตภัณฑ์สรรหาวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ในกระแส โดยทีมวิจัยและพัฒนาสามารถให้คำแนะนำ คิดค้น และพัฒนาสูตรการผลิต รวมถึงทดสอบจนได้ผลิตภัณฑ์ตามที่ต้องการ พร้อมให้บริการแนะนำขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขซึ่งทีมบริการลูกค้าและทีมขายของกลุ่มบริษัทจะดูแลติดตามผลจากลูกค้าหลังการขายอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยแก้ไขปัญหารหรือ ประสานงานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป
“ทีม R&D ของเรา 20 กว่าคนช่วยกันแบ่งเป็นคาวและหวานดูแลสิ่งที่ลูกค้าต้องการ โดยเรามีทีมดูแลอาหารเสริมและทีมรับจ้างผลิตบริการลูกค้าด้วย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของเราที่มีทีม Innovation Lab สร้างคุณค่าให้สินค้าหรือบริการของ NTSC และสินค้าในพอร์ต 40 กว่าปีมีความหลากหลายมาก โดยสินค้าแต่ละตัวของเรายังมีระบบคุณภาพรับรอง และเราก็ทำ carbon footprint เพิ่ม รวมถึงจุดแข็งความยืดหยุ่นของทีมงานที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าเหมือน one stop service solution และปรับกลยุทธ์ตามกระแสโลกได้”
พัชร์ย้ำจุดแข็งของบริษัทที่ได้รับความเชื่อมั่นด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมในอุตสาหกรรมอาหารกว่า 40 ปี ภายใต้ศูนย์นวัตกรรมและฝ่ายวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความรู้และความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สามารถคิดค้น คัดสรรและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งยังสามารถจัดหาวัตถุดิบที่เหมาะสมและนำเสนอทางเลือกผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในงบประมาณที่กำหนดอย่างคุ้มค่า
ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาผลิตและจำหน่าย โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยเนื่องจากผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งปัจจุบันกลุ่มบริษัทได้รับมาตรฐานสากลต่างๆ
ดังนั้น บริษัทจึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารในประเทศ และบริษัทสาขาของต่างประเทศเช่น โรงงานผู้ผลิตขนมขบเคี้ยว โรงงานอาหารแปรรูปอาหารทะเล โรงงานอาหารแปรรูปเนื้อสัตว์ เป็นต้น
รวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและลูกค้าทั่วไปซึ่งครอบคลุมถึงผู้ประกอบการขนาดเล็กผู้ค้าส่งเพื่อนำสินค้าไปจำหน่ายต่อ และผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม ยา สมุนไพร เครื่องสำอาง และอาหารสัตว์ เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้าและสูตรการผลิตที่เป็นความลับ ทำให้ต้องเลือกผู้ผลิตและจัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ พร้อมตอบสนองความต้องการสินค้าตามแผนที่วางไว้
“ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจเห็นชัดมากช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่ค่าเงิน 25 บาทเป็น 50 บาท หรือเงินปอนด์เป็น 70 บาท วันเดียวเป็นหนี้ 2 เท่า และลูกค้าก็ล้มตามๆ กัน ซึ่งช่วงนั้นคุณพ่อแก้เรื่องธนาคารไทยไม่สามารถรับรองค่าเงินได้ด้วยการคุยกับบริษัทซัพพลายเออร์หรือผู้ผลิตที่ทำธุรกิจกันมานานและรู้ว่าเราไม่โกง ทำให้ได้วงเงินในระยะที่ยาวขึ้นและสามารถทยอยจ่ายได้ ส่วนด้านลูกค้ารายที่สามารถประนีประนอมได้หรือยังจ่ายเราก็ช่วยกันพยุง และสุดท้ายก็รอดมาได้
จากการสร้างความเชื่อถือที่ดีกันมานานทำให้รู้ว่าเราไม่มีปัญหาการชำระเงินและช่วยท้งัซัพพลายเออร์ ผู้ผลิต และคู่ค้า เมื่อเกิดอะไรขึ้นเราก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันทำให้รอดทุกฝ่าย โดยซัพพลายเออร์ก็ให้เครดิตเราว่าช่วยให้เขาเติบโต ไม่มีประวัติทางลบและลูกค้าก็ประทับใจกับการที่เราให้คุณค่าเขาสามารถขายสินค้าได้มากขึ้น และการพัฒนาสินค้านวัตกรรมทำให้เขาไว้วางใจให้เราดูแลเพราะเชื่อถือได้”
พัชร์กล่าวถึงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชียปี 2540 ซึ่งสามารถข้ามผ่านปัญหาได้จากความเชื่อมั่นและไว้วางใจ พร้อมนำประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นบทเรียนปรับกลยุทธ์การดำเนินงานภายในให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก ด้วยรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจำนวน 852.3 ล้านบาท ในปี 2562 อยู่ที่ 997.1 ล้านบาทในปี 2563 และ 1.04 พันล้านบาทในปี 2564 โดยช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 796.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ถ้าเราไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวในวันนั้นช่วงโควิด-19 น่าจะเจ็บหนัก แต่เพราะเรามีประสบการณ์ตรงนั้นแล้วจึงช่วยให้เราconservative พิจารณารอบด้าน ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% รวมถึงจุดแข็งที่ทำให้เราสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสุดท้ายกลับมาที่ปรัชญาการทำงาน 6 core ได้แก่ การทำธุรกิจอย่างมีคุณธรรม การให้คุณค่า การยึดถือในคุณภาพทั้งสินค้า บริการ ทีมงาน และการทำธุรกิจให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ยกเว้นความลับทางธุรกิจ โดยเรายังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้วยการเป็นบริษัทมหาชน มีความเป็นมืออาชีพสร้างการเติบโตระยะยาว สุดท้ายเป็นเรื่องความรู้ที่จะมาต่อยอดธุรกิจเพิ่มในด้านที่ดี ถูกต้องและเป็นประโยชน์กับสังคม”
ค้นสูตรสานต่อความยั่งยืน
ผลงานการสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาถือเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของคลื่นลูกใหม่ในการขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวอายุมากกว่า 4 ทศวรรษ สู่ความเป็นมืออาชีพในการแปรสภาพบริษัทเป็นมหาชนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ หมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อยกระดับองค์กรให้มีความเป็นมาตรฐานและระดมทุนขยายอาณาจักรให้พร้อมรับโอกาสสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
“เมื่อ 3 ปีก่อนเรามองว่าถ้าต้องการให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนเราน่าจะปรับเป็นมหาชนและเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะเงินระดมทุนสามารถช่วยให้เราสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดและการเป็นมหาชนจะทำให้มีมืออาชีพเข้ามา ซึ่งเรามีความยินดีมากที่จะมีมืออาชีพที่สามารถนำพาบริษัทให้ก้าวกระโดดได้ ทำให้เราหาที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาทางกฎหมาย และผู้ที่เข้ามาตรวจสอบระบบการควบคุมภายในของบริษัทเพื่อสร้างมาตรฐานเป็นมหาชน”
นอกจากนั้น ในฐานะทายาทธุรกิจยังวางเป้าหมายส่วนตัวในการต่อยอดอาณาจักรให้เติบโตและได้รับความเชื่อมั่นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน คณะกรรมการ นักลงทุน พันธมิตรคู่ค้า ผู้ผลิต ลูกค้า รวมทั้งการมีส่วนร่วมช่วยเหลือพัฒนาสังคมให้สามารถเดินหน้าเติบโตควบคู่กับความสำเร็จทางธุรกิจ พร้อมยึดมั่นในหลักการทำงานและคำสอนที่ได้รับการถ่ายทอดจากครอบครัว
“ส่วนตัวยึดมั่นในเป้าหมายความกตัญญูเป็นสำคัญ ทำให้เข้ามาต่อยอดธุรกิจและเน้นการทำงานเป็นมืออาชีพที่ใช้มาตรฐานสากลเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จจากผลการดำเนินงาน โดยเรายังให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรมในการใช้ชีวิตที่คุณแม่ปลูกฝังศีล 5 ให้ครบ และการทำธุรกิจที่เน้นความยั่งยืน
ซึ่งคุณพ่อจะสอนเสมอว่า อย่าทำอะไรที่ตีหัวเข้าบ้าน เพราะไม่นานก็จบและเราเพิ่มเติมเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นที่สุดท้ายความสำเร็จจะกลับมาหาเรา รวมถึงความมีวินัยในการทำงาน Plan Do Check Act วางแผน ลงมือ ตรวจสอบ แก้ไข และพัฒนาต่อเนื่อง โดยทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ และการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี หรือมีกัลยาณมิตรที่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันให้เติบโต”
ภาพ: NTSC