เธอถูกส่งไปเรียนและใช้ชีวิตในต่างประเทศกว่าสิบปี ผ่านงานกับองค์กรระดับชาติและนานาชาติ ก่อนไปคว้าปริญญาโทในอังกฤษ แล้วกลับมาลุยธุรกิจ LPG ของครอบครัวในวัย 23 แล้วพบว่า ตัวเองหลงใหลในธุรกิจโรงแรมและศูนย์การค้ามากกว่า พร้อมเป้าหมายสร้างแบรนด์โรงแรมไทยให้ไปทั่วโลก
7 เดือนที่แล้ว
Forbes Thailand พาไปรู้จัก
วรวิทย์ วีรบวรพงศ์ มหาเศรษฐีอันดับที่ 47 ของไทย เจ้าของ “สยามแก๊ส” และ ศูนย์ค้าส่งรายใหญ่ในกรุงเทพฯ “โบ๊เบ๊ทาวเวอร์” ผู้ผ่านบททดสอบจากฟากฟ้า “ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน” ณ ชั้นบนสุดของโรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ (The Berkeley Hotel) ย่านประตูน้ำ ผลงานชิ้นโบแดงที่เจ้าสัวมอบให้ พัชราวดี วีรบวรพงศ์ ลูกสาวคนเล็ก วัย 26 ปี เป็นผู้ดูแล
“ตอนจบใหม่เคยทำธุรกิจแก๊สแล้ว รู้สึกไม่ค่อยท้าทาย สินค้าเป็น commodity ไม่มี feeling ตรงข้ามกับโรงแรมหรือห้างที่ใช้ feeling เยอะมาก เราชอบความท้าทาย เรายังเด็กอยากทำอะไรที่ท้าทายมากกว่า” พัชราวดี ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทพรหมมหาราชพัฒนาที่ดิน กล่าว
ใน 3 ปีที่ผ่านมา เธอเข้ามารับผิดชอบกิจการโรงแรมและศูนย์การค้า ที่มหานาคมีโรงแรมปรินซ์ พาเลซ และโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ ที่วังบูรพามีศูนย์การค้าเมก้า พลาซ่า ที่ประตูน้ำมีโรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ และเดอะ พาลาเดียม เวิลด์ ช้อปปิ้ง และที่รังสิตมีโบ๊เบ๊ทางเวอร์ รังสิต รวมมูลค่าทั้งหมดเกินกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ด้วยฐานะลูกสาวเจ้าสัวที่รับช่วงต่อกิจการ เธอปรารภว่า หลายคนอาจมองเป็นเรื่องง่าย แค่ได้รับห้างหรือโรงแรมมาดูแลต่อ ทว่าความท้าทายคือจะต่อยอดอย่างไรให้มีกำไรเติบโตเป็นหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอายุยังน้อย คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเด็ก ไม่มีประสบการณ์ ทำให้ต้องพยายามเรียน และต้องไม่แพ้คนที่อายุ 30 ที่ทำงานมานาน
“ผลงานในวันนี้ถือว่าสำเร็จระดับหนึ่ง แต่คุณพ่ออยากให้ทำเยอะกว่านี้ ท่านให้โจทย์เรื่อยๆ คุณพ่ออยากทำหลายอย่างให้ครบวงจรในด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่อยู่อาศัย mix use คอนโดมิเนียม หรือศูนย์ประชุม”
พัชราวดีกล่าวถึงบิดาผู้อยู่เบื้องหลังว่า มักให้ในหลักการคำสอน และหลักด้านการบริหารมากกว่าคอยให้คำปรึกษาในทุกเรื่อง
“เราเชื่อว่าทุกอย่างสามารถสำเร็จได้ถ้าพยายาม คนที่สำเร็จเร็วที่สุด คือ คนที่เห็นก่อนคนแรก ถ้ามองเห็นโอกาส เราก็พร้อมเดินหน้าต่อ เราต้องทำให้ดีที่สุดในที่ที่มีอยู่ แต่ต้องไม่หยุดแค่นั้น เพราะดีที่สุด อาจจะเฉพาะวันนี้ แต่ไม่ได้หมายถึงวันพรุ่งนี้”