อุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ เบลนด์ความต่างเสิร์ฟ Boncafe - Forbes Thailand

อุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ เบลนด์ความต่างเสิร์ฟ Boncafe

โจทย์การขับเคลื่อนธุรกิจตอบดีมานด์ผู้บริโภคมากกว่าเมล็ดกาแฟและเครื่องทำกาแฟ พร้อมบริการหลังการขายครบวงจรสู่การปรับยุทธศาสตร์บาลานซ์พอร์ตเพิ่มคุณค่าแบรนด์บอนกาแฟ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยคอนเซปต์ One Stop Coffee & Beverage Solutions


    กาแฟหอมกรุ่นรสกลมกล่อมพร้อมเสิร์ฟในร้านอาหารและโรงแรมทั่วประเทศได้รับการรังสรรค์จากบาริสต้ามืออาชีพที่สามารถแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ด้วยความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐานของแบรนด์ซัพพลายเออร์ระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญด้านกาแฟและเครื่องดื่มครบวงจร รวมถึงประสบการณ์ให้บริการตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทุกกลุ่มในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 34 ปี ภายใต้การบริหารของ Massimo Zanetti Beverage Group (MZBG) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่ของโลกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอิตาลีและเจ้าของแบรนด์สินค้ายอดนิยมจำนวนมาก

    “บอนกาแฟเป็นแบรนด์จากสิงคโปร์ก่อตั้งโดยชาวสวิตเซอร์แลนด์ในปี 2505 ซึ่งผู้ก่อตั้งในไทยคุณ Urs T. Brunner เป็นชาวสวิสเหมือนกัน และภรรยาคือคุณมาลีรัตน์ ต้องการทำธุรกิจกาแฟคุณภาพดีให้ทุกคนเข้าถึงได้จึงติดต่อแบรนด์สิงคโปร์นำบอนกาแฟเข้ามาในประเทศไทย โดยพัฒนาการของบริษัทแบ่งเป็น 3 ยุค เริ่มจากปี 2534-2543 เป็นยุคธุรกิจครอบครัว ส่วนใหญ่ต่างชาติดูแลและคนไทยเป็นทีมสนับสนุน ซึ่งช่วงนั้นฐานลูกค้ายังเน้นเฉพาะโรงแรม ต่อมาในปี 2544-2553 บอนกาแฟเริ่มขยายไปร้านอาหาร ออฟฟิศ โดยยุคที่ 3 บริษัทมีความเปลี่ยนแปลงในปี 2557 หลังจาก MZBG เข้ามา ซึ่งเราเป็นคนไทยและผู้หญิงคนแรกที่ได้รับโอกาสเป็น CEO ของบอนกาแฟในปี 2559”

    อุษาพรรณ อินทีวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท บอนกาแฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเส้นทางการเติบโตทางธุรกิจที่ผ่านมา ซึ่งได้มีส่วนร่วมพัฒนาด้านการตลาดและการส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ ด้วยการปรับใช้ความรู้ปริญญาตรี สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท สาขาการตลาด มหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาโท Advanced Marketing Management, Lancaster University ซึ่งเริ่มต้นทำงานที่บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย LS Horizon Limited และฝ่ายการตลาดของ Cisco  

    ก่อนจะตัดสินใจร่วมงานกับบอนกาแฟในปี 2551 โดยสามารถสร้างผลงานพิสูจน์ความสามารถจนกระทั่งได้รับตำแหน่งรองประธานฝ่ายวางแผนและปฏิบัติการ รวมถึงประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมนั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารต่อจาก Urs T. Brunner ซึ่งเป็นซีอีโอคนแรกและผู้ก่อตั้งธุรกิจในประเทศไทย

    “หลังเรียนจบปริญญาตรีสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเกี่ยวกับด้านจิตวิทยาเราทำงานประมาณ 1 ปีก็เรียนต่อโทเกี่ยวกับ entrepreneur การบริหาร ซึ่งเรารู้แล้วว่าชอบด้านธุรกิจและการตลาด เราจึงเลือกเรียน Advanced Marketing Management ที่อังกฤษ โดยต้องปรับตัวทั้งภาษา วัฒนธรรม และการเรียนที่เน้น case study มากกว่าทฤษฎี พอกลับมาได้ทำการตลาดที่ Cisco ประมาณ 2 ปี ถือเป็นโรงเรียนแรกที่ทำให้รู้การทำงานกับบริษัทข้ามชาติ จากนั้นเราเริ่มมองหางานในธุรกิจที่สนใจอย่างอาหารและเครื่องดื่มเป็นธุรกิจใกล้ตัวที่เข้าใจง่าย เราจึงสมัครทำงานที่นี่ถึงวันนี้ 17 ปีแล้ว”



    ตลอดระยะเวลาการทำงานอุษาพรรณสามารถสร้างผลงานสำคัญที่ทำให้ได้รับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในความพร้อมกุมบังเหียนธุรกิจ ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่โฟกัสลูกค้าเป็นศูนย์กลางและการให้บริการครบวงจรมากกว่ายอดขายเป็นหลัก เช่น การจัดเวิร์กช็อปให้ความรู้สำหรับผู้สนใจเปิดร้านกาแฟ ซึ่งสามารถขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจำนวนมาก รวมถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ตลาด 360 องศา และการสร้างแบรนด์ที่ชัดเจนเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตธุรกิจยั่งยืน

    นอกจากนั้น อุษาพรรณยังเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงให้องค์กรอย่างต่อเนื่องหลังได้รับตำแหน่งซีอีโอ ด้วยการแบ่งกลุ่มลูกค้าและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มที่ต่างกันควบคู่กับการบริหารและดูแลพนักงานของบริษัท โดยเริ่มจัดระบบการจัดการภายในให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น พร้อมทั้งปรับตัวช่วงโควิด-19 ให้สามารถก้าวผ่านความท้าทายได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก และการขยายกลุ่มผู้บริโภค (B2C) มากขึ้นจากเดิมที่มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจ (B2B) เพื่อลดผลกระทบและกระจายความเสี่ยงรายได้ให้เติบโตได้

    “ช่วงเข้ามาแรกๆ เราเริ่มจากการดูจุดแข็งของเรา และวงการกาแฟขณะนั้นยังไม่มีอะไร ซึ่งเรายังมองการขยายธุรกิจไปยัง segment อื่นด้วย โดยใช้เครื่องมือทางการตลาดเดิมและจัด workshop ต่อเนื่องถึงวันนี้ประสบความสำเร็จร่วม 10 ปี  รวมถึงทำเรื่อง branding ด้วย ทำให้บอนกาแฟแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดที่เน้นกลยุทธ์ราคาอย่างเดียว แต่เราเน้นการตลาดสร้างความยั่งยืน ซึ่งความแตกต่างของเราส่วนหนึ่งคือ learning by doing จากโอกาสที่ผู้ก่อตั้งมอบให้เราก็สอนแบบเจ้าของ แต่หลังจากอิตาลีเข้ามาต้องทำงานภายใต้ regional ที่สิงคโปร์ โดยเราก็เรียนรู้เรื่องนี้กับคุณ Joe Mohan เปลี่ยนการทำงานในลักษณะครอบครัวคล้ายระบบเถ้าแก่เป็นรูปแบบบริษัทมีการวัดผลชัดเจน”

    สำหรับในปัจจุบันบริษัทเป็นผู้ผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายกาแฟ เครื่องทำกาแฟ และเครื่องบด ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่กาแฟ อุปกรณ์เสริมอื่นๆ รวมถึงโซลูชัันกาแฟและเครื่องดื่มครบวงจรรวมมากกว่า 1,000 รายการ ด้วยจำนวนสาขาครอบคลุม 22 สาขาทั่วประเทศ พร้อมให้บริการกลุ่มลูกค้าโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ อาคารสำนักงาน และผู้บริโภคในครัวเรือน 

    ขณะที่ผลิตภัณฑ์กาแฟของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์ Boncafe, Segafredo Zanetti และ Craze Café ส่วนส่วนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่กาแฟ ได้แก่ ชาผลไม้สำเร็จรูป เครื่องดื่มสำเร็จรูป ผงมัทฉะจากญี่ปุ่น นมผสม น้ำส้มเข้มข้น ผงปั่นเฟรปเป้ ใบชาบดละเอียด รวมถึงนำเข้าผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Torani น้ำเชื่อมนำเข้าจากอเมริกา Andros Professional ผลไม้เข้มข้นฟรุ๊ต ชังกี้ Alternative Dairy Co. ผลิตภัณฑ์นมทางเลือกทางพืช Fora Bee เจลลี่แปรรูปจากน้ำผึ้งแท้

    นอกจากนั้น บริษัทยังมีโรงงานผลิตและเครื่องคั่วกาแฟศักยภาพสูงที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี กำลังการคั่ว 600-700 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และกำลังการผลิตสูงสุด 4,000-8,000 กิโลกรัมต่อวัน โดยมีผู้เชี่ยวชาญในห้องแล็บทดสอบรสชาติกาแฟและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์กาแฟใหม่ พร้อมทั้งตรวจสอบและควบคุมมาตรฐานตั้งแต่การซีลถุง การแปะฉลาก การวัดน้ำหนัก การตรวจสอบสิ่งแปลกปลอม และการตรวจสอบด้านจุลชีววิทยา รวมถึงคลังสินค้าและการขนส่งไปยังสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ

    “พอร์ตกาแฟของเราครอบคลุมความต้องการลูกค้าทุก segmentation โดยมีบอนกาแฟเป็น mass และเพิ่มทางเลือก Segafredo Zanetti เป็นพรีเมียม หรือ Craze Café เป็น specialty coffee ซึ่งเรายังมั่นใจในความแตกต่างเรื่องการตลาด และการทำแบรนด์ดิ้งที่ชัดเจน แม้วันนี้อาจจะมีหลายแบรนด์ที่ขายเครื่องเหมือนเราหรือขายกาแฟเหมือนเรา แต่การนำเสนอภาพโซลูชันให้ลูกค้าครบจบที่เรา และสาขาให้บริการทั่วประเทศน่าจะเป็นจุดแข็งของเราที่ต่างจากคู่แข่ง รวมถึงเรายังมีความเชี่ยวชาญในการคั่วกาแฟขนาดใหญ่ ทั้งจากสิงคโปร์จนถึงวันนี้ 60 ปี และ 34 ปีฝั่งเอเชีย โดยรวมกับ Massimo ที่มีประสบการณ์จากยุโรป หรือเครื่องจักร วัตถุดิบต่างๆ ทำให้เราได้เปรียบคู่แข่ง”



ผสมสูตรเข้มรับโจทย์ Eyes on Ball

    แม้ธุรกิจกาแฟจะเผชิญความท้าทายด้านความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศและสภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อผลิตเมล็ดกาแฟโดยตรง แต่ตลาดกาแฟไทยยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งด้านปริมาณการบริโภคและมูลค่า ซึ่งคนไทยปัจจุบันดื่มกาแฟเฉลี่ย  340 แก้วต่อคนต่อปี โดยเฉพาะกาแฟสำเร็จรูปที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และกาแฟสดที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น

    “ธุรกิจกาแฟแข่งขันสูง แต่มีสัญญาณดีที่เป็นสินค้าขาขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าใครจะคว้าโอกาสได้เร็วกว่ากันหรือเสนอสิ่งที่ลูกค้าตามหาได้ตรงใจกว่ากัน โดยกลยุทธ์ที่กรุ๊ปให้เราเปลี่ยนจาก volume to value และปีหน้าเราต้อง eyes on the ball ซึ่งปีนี้เราเตรียมแผนกลยุทธ์ด้านต่างๆ ไว้ค่อนข้างพร้อม อย่างระบบ ERP ทำให้เรามี data ถูกต้องและเรียลไทม์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้รวดเร็วขึ้น โดยข้อมูลที่ดีจะช่วยให้เรา eyes on the ball และวิเคราะห์ได้ เพราะธุรกิจท้าทายขึ้น เราต้องจับตาให้ดีและการเปลี่ยนแปลงต้องเร็วขึ้น”

    อุษาพรรณกล่าวถึงการวางแผนปรับกลยุทธ์ธุรกิจทั้งด้านการตลาด การขาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์ พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มผ่านสินค้าและบริการที่หลากหลาย เพื่อขยายตลาดเพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการขยายฐานลูกค้า Business to Customer (B2C) ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายรองของบริษัท ได้แก่ ลูกค้าที่เยี่ยมชมโชว์รูม โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ชอบการดื่มกาแฟและมองหาเครื่องทำกาแฟหรืออุปกรณ์สำหรับใช้ที่บ้าน เครื่องทำกาแฟสำหรับ home use เครื่องบดกาแฟ และเมล็ดกาแฟที่คัดสรรอย่างดี 

    นอกจากนั้น บริษัทยังมีกลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อเมล็ดกาแฟหรือสินค้าอื่นๆ ผ่านช่องทางรีเทล ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งต้องการสินค้าทั้งเมล็ดกาแฟ และสินค้าที่ไม่ใช่กาแฟ รวมถึงกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและการช็อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเน้นสินค้าเมล็ดกาแฟ เครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก และอุปกรณ์การชงกาแฟแบบง่ายที่ตอบโจทย์ในชีวิตประจำวัน 


    ขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายหลัก Business to Business (B2B) ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจโรงแรมตั้งแต่ระดับกลางถึงระดับหรูหรา โดยส่วนใหญ่ต้องการกาแฟคุณภาพสูง พร้อมเครื่องทำกาแฟที่สามารถรองรับการใช้งานต่อเนื่องและคุณภาพคงที่ ซึ่งเน้นกลุ่มสินค้าเมล็ดกาแฟหลากหลายระดับ เครื่องทำกาแฟระดับ commercial เครื่องบดกาแฟ และสินค้าประเภทชา ไซรัป และนมทางเลือกสำหรับการทำเครื่องดื่มที่หลากหลาย

    ส่วนกลุ่มธุรกิจคาเฟ่และร้านอาหารเน้นเจาะกลุ่มธุรกิจที่ต้องการสร้างเอกลักษณ์ของร้านผ่านกาแฟ เช่น specialty coffee หรือเมนูเครื่องดื่มสร้างสรรค์ สินค้าเครื่องทำกาแฟสำหรับร้านขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เมล็ดกาแฟพิเศษ ไซรัป และวัตถุดิบสำหรับการทำเครื่องดื่มเฉพาะ ขณะที่กลุ่มธุรกิจสำนักงานต้องการเพิ่มความสะดวกสบายให้พนักงานด้วยกาแฟคุณภาพดีในรูปแบบที่ใช้งานง่าย และเครื่องชงกาแฟแบบอัตโนมัติ รวมถึงเครื่องชงกาแฟสำหรับการใช้งานในออฟฟิศ

    “กลุ่มลูกค้า B2C ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% เราต้องการปรับให้เป็น 25-28% เพื่อลดความเสี่ยงและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะออนไลน์ที่เราจัดเป็นกลุ่มรีเทล ซึ่งเราต้องการเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากขึ้น ด้วยการขายผ่านช่องทาง marketplace ทั้งหมด และวางแผนดึงลูกค้ากลับมาช่องทางเว็บไซต์ของเรา รวมถึงขยายกลุ่มผู้ใช้งานในบ้านเจาะกลุ่มคนรักกาแฟที่ต้องการสัมผัสคุณภาพระดับคาเฟ่ที่บ้าน โดยเราจะไม่ลงสงครามราคา แต่ส่งมอบคุณค่าที่ได้ผลในระยะยาว ด้วยการสำรวจรับฟังความคิดเห็นและเก็บข้อมูลผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย ซึ่งข่วยเพิ่มความมั่นใจในความแม่นยำสำหรับการตัดสินใจดำเนินกลยุทธ์ต่างๆ และการพัฒนาแพ็กเกจจิ้งตอบโจทย์ความต้องการกลุ่ม B2C”

    อุษาพรรณกล่าวถึงแผนการดำเนินงานเพิ่มอัตราการเติบโตของช่องทางอี-คอมเมิร์ซให้พร้อมรองรับการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนทำวิจัยทั้งพฤติกรรมผู้บริโภค การสื่อสารทางการตลาด การให้บริการ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมลงทุนระบบ ERP ช่วยในการวิเคราะห์แบบเรียลไทม์

    ขณะเดียวกันยังมุ่งเน้นสร้างความแตกต่างด้วย certified coffee ไม่ว่าจะเป็น Boncafe Organic, Boncafe Rainforest, Segafredo Rainforest รวมถึงปรับพอร์ตรายได้ธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่กาแฟ (non-coffee) เช่น ชา โกโก้ นมทางเลือก ไซรัป ฟรุ๊ต ชังกี้ โดยเฉพาะเครื่องดื่มทางเลือกสำหรับสายสุขภาพ เช่น นมทางเลือกจากออสเตรเลีย The Alternative Dairy Co. ควบคู่กับการสร้างแบรนด์ผ่านการดำเนินงานโครงการด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เช่น เฟอร์นิเจอร์จากกากกาแฟ และฟอยล์บรรจุสินค้า ถุงพลาสติก HDPE จากกาแฟที่บดรวมกับพลาสติก HDPE เครื่องคั่วกาแฟรักษ์โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    นอกจากนั้น บริษัทยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น กาแฟออร์แกนิก และกาแฟ Rainforest เมล็ดกาแฟคั่วระดับพรีเมียมจากฟาร์ม ซึ่งได้รับการรับรองจาก Rainforest Alliance ที่มีแหล่งเพาะปลูกในพื้นที่เขตอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่รุกล้ำพื้นที่ป่า ช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีสัญลักษณ์ “กบต้นไม้ตาแดง” (Red-Eyed Tree Frog) เป็นเครื่องหมายรับรองมานานกว่า 30 ปี เนื่องจากกบถือเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของธรรมชาติและความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

    “สัดส่วนรายได้ของเรา 50% มาจากกลุ่มกาแฟ 20% กว่าเป็นเครื่องทำกาแฟ และ 20% เป็นกลุ่ม non-coffee เช่น ชา โกโก้ มัทฉะ น้ำเชื่อม ส่วนที่เหลือเป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งเราต้องการเพิ่ม non-coffee เพราะเห็นโอกาสการเติบโต เช่น มัทฉะที่มีดีมานด์สูงมาก หรือเครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพนอกจากนมทางเลือก เรายังมองหาขบวนรถไฟใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการผู้บริโภค รวมถึงพัฒนากาแฟใหม่โดยเฉพาะ certified coffee และนโยบายมุ่งเน้นความยั่งยืน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือเคียงข้างลูกค้าอย่างการพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำกาแฟได้หลากหลาย และประหยัดขึ้น การจัดเวิร์กช็อปให้ความรู้ หรือการเสนอโซลูชันเครื่องบดที่ช่วยให้สามารถบดกาแฟได้มีรสชาติดีขึ้น”



    อุษาพรรณย้ำความมั่นใจในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจซึ่งคาดการณ์รายได้รวม 1.47 พันล้านบาท หรือเติบโต 15% ในปีนี้ โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากกลุ่มกาแฟมากกว่า 50% รองลงมาเป็นเครื่องชงกาแฟ เครื่องบด เครื่องปั่นและอุปกรณ์ประมาณ 30% ซึ่งกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่กาแฟมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 56% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยบริษัทยังพิจารณานำเข้าแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

    “บอนกาแฟเป็นผู้นำธุรกิจกาแฟครบวงจร top 3 ของประเทศไทย ซึ่งคาดการณ์รายได้ 1.47 พันล้านบาทในปีนี้และเป้าหมายเกือบ 1.6 พันล้านบาทในปีหน้า ด้วยคอนเซปต์ One Stop Coffee and Beverage Solutions และภาพลักษณ์ธุรกิจเราต้องการเป็น premium coffee solution ให้เห็นความแตกต่างว่า บอนกาแฟเสนอคุณค่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาครบจบที่เราตอบโจทย์ที่สุด และต้องการให้มองเราเป็นพาร์ตเนอร์ที่เติบโตไปด้วยกัน พร้อมตอบโจทย์ความยั่งยืนได้มากกว่า”

    ขณะที่คีย์สำคัญของความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้นอกจากการวางกลยุทธ์และระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ อุษาพรรณยังเชื่อมั่นในความสำคัญของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญร่วมกันทำงานเป็นทีม โดยมุ่งเน้นการต่อยอดองค์ความรู้พนักงานด้วยโปรแกรม Train the Trainer และระบบ E-learning ส่งเสริมการพัฒนาและเรียนรู้เพิ่มเติมผ่านหลักสูตรออนไลน์ พร้อมทั้งเปิดเวทีให้ได้แสดงศักยภาพความสามารถอย่างเต็มที่

    “บอนกาแฟ 3 ยุคมีทีมงานตั้งแต่ยุคครอบครัวถึงยุคใหม่เบลนด์กันอยู่ เราต้องทำให้ทีมงานทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นและเกิด synergy การยอมรับซึ่งกันและกัน โดยเพิ่มการลับคม Train the Trainer และสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ เช่น ส่งเสริมการเรียนรู้ E-Learning พร้อมมอบหมายงานที่สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญ put the right man on the right job เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเราให้ความสำคัญกับทรัพยากรบุคคลมากๆ ซึ่งอายุการทำงานเฉลี่ยของพนักงานที่อยู่กับเราเฉลี่ย 8 ปี และช่วงต้นปีเรายังได้รับรางวัล Dream Company”




ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ยุทธพงษ์ เรืองศิริ ปรุงรสให้ Fora Bee

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine