“ท่าเรือราชาเฟอร์รี่” ผู้ให้บริการเดินเรือเฟอร์รี่รายใหญ่แห่งน่านน้ำอ่าวไทยที่เชื่อมระหว่างอำเภอดอนสัก-เกาะสมุย เกาะสมุย-พะงัน ซึ่งมีชื่อเสียงการจัดงานฟูลมูนหนึ่งเดียวในโลก แต่ด้วยพิษเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่อเนื่องถึงกำไรของบริษัทที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ตลอดระยะทางของการดำเนินธุรกิจเดินเรือและท่าเรือ 35 ปี อภิชาติ ชโยภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ จำกัด (มหาชน) ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากมายและแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความที่มีเลือดนักสู้อยู่ในตัว ทำให้เขาไม่ยอมแพ้ และไม่หยุดที่จะเรียนรู้ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งเศรษฐกิจโลก พฤติกรรมของนักท่องเที่ยว และยุคดิจิทัล
กว่าจะก้าวมาเป็นผู้ให้บริการเดินเรือและท่าเรือรายใหญ่ของเกาะสมุย นายใหญ่แห่งท่าเรือราชาเฟอร์รี่ต้องลุกขึ้นสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ให้บริการเดินเรือในภูมิภาคอาเซียน พร้อมกับการขับเคลื่อนธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี เพื่อสร้างการเติบโตให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน
ปรับแผนรับนักท่องเที่ยว
ท่ามกลางสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจากพิษสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกถดถอย และจำนวนนักท่องเที่ยวลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง โดยอภิชาติกล่าวยอมรับว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท แม้รายได้จะยังขยายตัวได้ดี แต่ในด้านกำไรกลับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะชาวยุโรปที่เป็นนักท่องเที่ยวหลักของบริษัท ยิ่งไปกว่านั้นในปีนี้บริษัทยังต้องเผชิญกับปัญหาซ้ำซ้อนจากเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวหายไปมากกว่าปีก่อน
ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนที่หายไปก่อนหน้านี้ยังคงไม่กลับมา แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นกลุ่มขนาดเล็กมากขึ้น และมีนักท่องเที่ยวจากประเทศใหม่เข้ามาทดแทน ส่งผลให้ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ต้องปรับตัว และปรับแผนการดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อให้สอดรับกับกับพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับในปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหม่ที่เดินทางมายังเกาะสมุยมี 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเป็นกลุ่มขนาดเล็กและพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงเน้นการเดินทางมาเอง กลุ่มรัสเซียหรือยุโรปตะวันออก รวมถึงกลุ่มอินเดีย และกลุ่มนักท่องเที่ยวในอาเซียน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอนาคต
“นักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มมีความต้องการแตกต่างกัน ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการให้บริการให้สอดรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว เช่น ชาวจีนนิยมเดินทางมาตอนเช้า ต้องการรับประทานอาหาร และเข้าที่พักทันที เราจึงต้องเตรียมบริการไว้ให้พร้อม ตอบสนองความต้องการได้ทันที เพื่อสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมาอีกครั้ง” อภิชาติยกตัวอย่าง
สำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มอนาคต ได้แก่ อินเดีย และประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ถือเป็นกลุ่มใหม่ที่เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวในวัฒนธรรมฟูลมูนของประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งเดียวในโลก โดยท่าเรือราชาเฟอร์รี่ ในฐานะผู้ให้บริการรายใหญ่ในพื้นที่เกาะสมุย-พะงัน จะต้องเร่งศึกษาพฤติกรรมของนักเดินทางในประเทศต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาบริการให้สอดรับกับนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มที่มีความต้องการแตกต่างกัน
นอกจากนี้ ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ยังได้เริ่มขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำธุรกิจร่วมกันมากขึ้น โดยเฉพาะรูปแบบการให้บริการที่เชื่อมโยงการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างกัน เช่น เมียนมา ซึ่งบริษัทได้เป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการสายการบิน และบริษัทท่องเที่ยวของเมียนมา เพื่อให้บริการลูกค้าที่จะเดินทางท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ซึ่งในอนาคตจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย
แผน 5 ปี สร้างรายได้กลุ่มใหม่
แม้ภาพรวมการท่องเที่ยวจะเริ่มมีทิศทางดีขึ้นจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น แต่อภิชาติก็ไม่ประมาท พร้อมวางแผนการดำเนินงาน 5 ปีในการขับเคลื่อนสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้บริษัททั้งรายได้และกำไร โดยมุ่งเน้นการขยายกลุ่มธุรกิจใหม่ เพื่อบริหารความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ในปี 2563 เป็นปีชวด เราคาดว่าจะเป็นปีทองของบริษัท โดยเราจะทำ 2-3 เรื่อง เพื่อวางแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต ระยะ 5 ปีข้างหน้า ให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การขยายการเดินเรือและท่าเรือ พัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่บริเวณท่าเรือดอนสัก และการลงทุนด้านดิจิทัล” อภิชาติกล่าว
สำหรับแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี ของท่าเรือราชาเฟอร์รี่จะทยอยลงทุนเป็นเฟส โดยเฟสแรกในปี 2563 จะใช้งบลงทุนราว 60 ล้านบาท เพื่อขยายกิจการท่าเรือและการเดินเรือจากจำนวนท่าเรือราชาเฟอร์รี่ 3 แห่ง จะเพิ่มเป็น 5 แห่ง และขยายเวลาให้บริการเป็น 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้ทุกกลุ่มตลอดเวลา เช่น กลุ่มชาร์เตอร์ไฟล์ทจะเดินทางมาช่วงกลางคืน กลุ่มจีนจะเดินทางช่วงเช้า เป็นต้น ส่งผลให้เกิดความคล่องตัวในการรับส่งนักท่องเที่ยวจากฝั่งเข้าสู่เกาะสมุยและพะงัน
นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์บริเวณท่าเรือดอนสัก บนพื้นที่ประมาณ 60 ไร่ ชื่อ “โครงการท่าเรือดอนสักสามัคคี” ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณคนเข้า-ออก ประมาณ 3 ล้านคน โดยจะมีทั้งตลาดสด ท่าเรือ และท่ารถประจำทางที่จะมีเส้นทางเดินรถไปทั่วประเทศ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งอภิชาติคาดว่า โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์จะสร้างรายได้ให้บริษัทในสัดส่วน 30%
สำหรับแผนบริหารจัดการที่จะสามารถสร้างผลกำไรได้เพิ่มขึ้น คือการลงทุนซื้อเรือใหม่ และการลงทุนด้านการตลาดดิจิทัล โดยบริษัทจะดำเนินการทยอยลงทุนในแต่ละปี เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว และตอบโจทย์นักเดินทางรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน
“นักเดินทางรุ่นใหม่ชอบการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการได้ทันท่วงนี้ เราจึงต้องลงทุนซื้อเรือรุ่นใหม่ ๆ ช่วยร่นระยะเวลาเดินทางได้ โดยใช้เวลาแค่ 45 นาที จากท่าเรือดอนสักไปสมุย นอกจากนี้ยังได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม เพิ่มความสามารถการแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น” อภิชาติระบุ
ขณะเดียวกันบริษัทได้ลงทุนในด้านการตลาดดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาการบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และจบได้ในขั้นตอนเดียว ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้พัฒนาช่องทางการให้บริการทั้งออนไลน์ เฟซบุ๊ก โซเชียลมีเดียต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ในทุกช่องทาง ใช้งานง่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการดียิ่งขึ้น
อภิชาติ คาดหวังว่าแผนการดำเนินงานดังกล่าว จะทำให้อนาคตของท่าเรือราชาเฟอร์รี่มีความชัดเจนขึ้น ทั้งในด้านการควบคุมต้นทุน การพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ในเชิงธุรกิจมากขึ้น และบรรทัดสุดท้าย คือผลกำไรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งที่สุดแล้วจะทำให้กิจการของท่าเรือราชาเฟอร์รี่เติบโตได้อย่างยั่งยืน เคียงคู่กับความสวยงามของเกาะสมุย พะงัน และวัฒนธรรมฟูลมูนที่มีหนึ่งเดียวในโลก
ภาพ: กิตติเดช เจริญพร, บมจ.ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine