แดน ปฐมวาณิชย์ "NRF" ปรับโฉมอาหารเปลี่ยนโลก - Forbes Thailand

แดน ปฐมวาณิชย์ "NRF" ปรับโฉมอาหารเปลี่ยนโลก

แดน ปฐมวาณิชย์ เล็งเห็นโอกาสจากเมกะเทรนด์สู่การจับมือสตาร์ทอัพเดินเกมรุกธุรกิจฟู้ดเทคแปลงร่างพืชเป็นโปรตีนเนื้อสัตว์เทียม ส่งออกเจาะตลาดบลูโอเชียนพร้อมประกาศความมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ระบบนิเวศอุตสาหกรรมอาหาร และการเป็น “The Purpose-Led Company”

กระแสการบริโภคอาหารในกลุ่ม specialty food ได้รับความนิยมเป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ด้วยลักษณะอาหารเฉพาะที่มีคุณภาพตั้งแต่กระบวนการคัดสรรวัตถุดิบ จนถึงกระบวนการผลิตที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้วาณิชธนากรหนุ่มตัดสินใจเบนเข็มเส้นทางจากที่ปรึกษาทางการเงินสู่การเป็นนักธุรกิจเต็มตัว “สิ่งแรกที่ทำคือ การค้นหา who we are ด้วยการเดินทางไปทั่วโลกจนพบเรื่องความยั่งยืนที่มีความสำคัญเปลี่ยนชีวิต และเป็นนโยบายของเราในวันนี้ รวมทั้งช่วงกลางปีเรายังสนใจเข้าไปศึกษาในวงการ plantbased food เพราะเห็นยอดขายของลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกปี และเทรนด์มิลเลนเนียลที่ต้องการบริโภคสิ่งที่ดีต่อโลกหรือดีต่อเขาทำให้ช่วงเริ่มต้นเราเน้นที่ความยั่งยืนและการเป็น plant-based food manufacturing ระดับโลก” แดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF กล่าว ขณะเดียวกันแดนยังกำหนดกลยุทธ์เจาะตลาดอาหารในกล่มุ specialty food ซึ่งกำลังได้รับความนิยม และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่นแถบภูมิภาคเอเชีย (ethnic oriental food) ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (plant-based food) และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (functional Products) ด้วยการนำเสนอวัตถุดิบคุณภาพสูงและปลอดภัย รวมถึงเดินหน้าขยายกำลังการผลิตที่ได้มาตรฐานผลิตระดับสากล และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายพร้อมเป็นกระแสหลักของโลกในอนาคต สำหรับในปัจจุบันแดนสามารถขับเคลื่อนบริษัทให้สามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรสชั้นนำ และอาหารโปรตีนจากพืช ด้วยผลิตภัณฑ์มากกว่า 2,000 SKU และกว่า 500 สูตรอาหารโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจ นอกจากนั้น บริษัทยังดำเนินธุรกิจในกลุ่ม plant-based food ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช โดยนำโปรตีนจากพืชมาผลิตอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารมังสวิรัติปรุงแต่งให้มีรสชาติ รสสัมผัส กลิ่น ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ ซึ่งใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมียมคัดสรรคุณภาพดี และใส่ใจต่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค รวมทั้งกลุ่ม functional products ธุรกิจผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shapes) “เราเป็นผู้นำ ethnic food ในกลุ่ม niche ของเรา ซึ่งมีคู่แข่งประมาณ 1-2 ราย ดังนั้นผมมองว่า การแข่งขันไม่ได้ดุเดือดมาก แต่ถ้าเป็น ethnic food โดยรวมก็การแข่งขันสูง ส่วน plant-based food เราเป็นรายแรกที่สร้างแพลตฟอร์ม plant-based manufacturing ระดับโลกและทั่วโลก ซึ่งไม่มีคู่แข่ง เพราะผมผลิตเฉพาะ plant-based food เท่านั้น ถ้าโรงงานที่มีเนื้อสัตว์ผลิตร่วมด้วย ผมไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง สุดท้าย functional เรามั่นใจในจุดขายที่แตกต่างอย่างแพ็กเกจจิ้งที่น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการขาย” NRF
  • ผ่ากลยุทธ์อาหารแห่งอนาคต
“วัตถุประสงค์การระดมทุนในตลาดอย่างแรกคือ การขยายกำลังการผลิตและการลงทุนในอนาคต ซึ่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เราใช้เวลาทรานส์ฟอร์มบริษัทเป็นมหาชนและค้นหาว่า NRF คือใคร โดยอีก 3 ปี หลังจะเป็นการ digitalization และใช้ data เข้าใจลูกค้า เพื่อสร้างคอนเทนต์และคอมมูนิตี้ ก่อนจะขายสินค้าของเราบนช่องทางอี-คอมเมิร์ซ พร้อมทั้งการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตใน Plant and Bean และซิตี้ฟู้ด รวมถึงไลน์ผลิตกับ Fluid Energy ซึ่งหลังจากไอพีโอเราจะมีโรงงานที่สมุทรสาคร นครปฐม ราชบุรี และ Plant and Bean อังกฤษ ส่วนทางอ้อมเป็นไลน์ผลิตที่อเมริกา แคนาดา อิตาลี และตะวันออกกลางผ่าน Fluid Energy” สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทที่วางไว้ได้มุ่งเน้นไปยังการเตรียมความพร้อมรองรับผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชที่มีการเติบโตสูงในตลาดสหรัฐอเมริกา อังกฤษและยุโรป ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เร่งให้ผู้บริโภคสนใจบริโภคโปรตีนจากพืชมากขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงเร่งกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการผลิตอาหารโปรตีนจากพืชผ่านการร่วมทุนกับ The Brecks Company Limited หรือ “เบรคส์” ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 27 ปีในธุรกิจผลิตอาหารโปรตีนจากพืช โดยร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ Plant and Bean Ltd. ที่ประเทศอังกฤษ เพื่อรับจ้างผลิตอาหารโปรตีนจากพืชให้กับบริษัทอาหารชั้นนำของโลก ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบันประมาณ 3,000 ตัน ให้เป็น 36,000 ตันภายในปี 2564 บริษัทยังมีแผนการลงทุนสร้าง NRF Global E-commerce Platform ร่วมกับ Boosted ECommerce Inc. (Boosted) เพื่อร่วมกันเข้าลงทุนในธุรกิจ branded e-commerce (consumer package brands: CPG) ของผู้ขายสินค้าที่มียอดขายบน Amazon E-commerce Marketplace และมีผลกำไรแล้ว รวมถึงมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูง โดยภายหลังจากการลงทุนบริษัทจะร่วมกับ Boosted ในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจที่เข้าลงทุนให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับปรุงซัพพลายเชน และการขยายขนาดธุรกิจเพื่อขยายธุรกิจออนไลน์ และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้กระจายเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก นอกจากนั้น บริษัทยังวางกลยุทธ์ขยายตลาดผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ V-shape ทั้งในผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารและไม่ใช่อาหารจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งได้เริ่มผลิตเจลล้างมือแบบพกพาในบรรจุภัณฑ์ V-shapes ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยบริษัทได้เข้าทำสัญญากับ Fluid Energy Group Ltd. ซึ่งเป็นผู้นำนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บริการเครื่องจักร V-shape สำหรับผลิตผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคจำหน่ายในแคนาดา สหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในตะวันออกกลาง  
  • ชูสูตรระดับโลกมัดใจคนไทย
แดนเห็นถึงโอกาสในการนำเสนอสินค้าคุณภาพส่งออกระดับสากลของบริษัทสู่ผู้บริโภคชาวไทยด้วยการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ เช่น เครื่องปรุงรสและน้ำจิ้มแบรนด์ พ่อขวัญ และ Lee Brand พร้อมปรับปรุงสูตรให้ได้รสชาติสอดคล้องกับผู้บริโภคไทย โดยเน้นการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย และสะดวกต่อการใช้ง่ายหรือการพกพามากขึ้น รวมถึงสามารถย่อยสลายได้ง่ายเพื่อให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม NRF “กลยุทธ์ในประเทศและต่างประเทศต่างกัน แต่ไม่ว่าจะกลุ่มผลิตภัณฑ์ไหนเราต้องเป็นผู้นำระดับโลก ซึ่งเราจะเน้นทั้ง 3 กลุ่มสินค้า เริ่มจาก ethnic food ประมาณ 10 SKU ส่วน plant-based food เราอาจจะเป็นน้องใหม่ในวงการ คนไม่รู้จักมากเราจะใช้กลยุทธ์โปรโมตด้วยการจัดงาน Plant-Based Food Festival ใหญ่ที่สุดในเอเชียในวันแรกของเทศกาลเจ รวมทั้งการผลิต Future Meat ร่วมกับสตาร์ทอัพของเรา และกลุ่ม functional products เราได้ร่วมกับ V-shape ที่อิตาลี ซึ่งมีการนำเสนอสินค้าน่าสนใจหลายตัวและน่าจะเปิดตัวเร็วๆ นี้” “sustainability to define who we are ว่า NRF เป็นใคร เราต้องการเป็นผู้นำในการผลิตอาหารแห่งอนาคตของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และความต้องการของผู้บริโภคโดยใช้ความยั่งยืนเป็นนโยบายเชิงรุก ซึ่งความยั่งยืนของเราวัด 3 อย่างหลักๆ ได้แก่ ผลการดำเนินงาน ผลกระทบเชิงบวกที่เรามีต่อสังคมหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรา และการทำให้โลกดีขึ้นได้อย่างไร โดยเราเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทของประเทศที่มีการเซ็นสัญญาลดคาร์บอนไม่ทำให้โลกร้อนเกิน 1.5 องศาใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งลูกค้าก็ชื่นชมอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตที่อเมริกาก็เอาสินค้าของเราวางบนชั้นสินค้าแทนเพราะ Carbon Neutral ของเรา” แดนกล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการกำกับดูแลกิจการที่ดีตลอดวัฏจักรชีวิตของสินค้าและบริการ (sustainability supply chain) ด้วยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของ UN Global Compact และเข้าร่วม 1.5 degree pledge พร้อมทั้งริเริ่มโครงการ Carbon Neutral เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน รวมถึงสนับสนุนองค์กรที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกให้กับโลกได้ (Emission Trading Scheme) ซีอีโอวัย 45 ปี ปิดท้ายถึงหลักการบริหารตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา กับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้ทีมงานทั่วโลกกว่า 1,500 คนเล็งเห็นความสำคัญของความยั่งยืนและการตอบแทนสังคมเพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน รวมถึงปลูกฝังความซื่อสัตย์และการเรียนรู้พัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องสู่การเป็นบริษัทในระดับโลก  
คลิกอ่านฉบับเต็ม “แดน ปฐมวาณิชย์ NRF ปรับโฉมอาหารเปลี่ยนโลก” และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2563 ในรูปแบบ e-magazine