เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล เผยแต้มต่อทางธุรกิจเล็กแต่คิดใหญ่ที่เล็งเห็นช่องว่างการเติบโตในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก พร้อมชูประสบการณ์และความเชี่ยวชาญงานวิศวกรรมเป็นใบเบิกทางสร้างความเชื่อมั่นคว้าบิ๊กโปรเจ็กต์ EPC ในโครงการไบโอคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ที่สุดของไทย ควบคู่การเดินหน้าขยายโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งในและต่างประเทศ
ภาพดอกสะแบงที่ปลิวตามแรงลมและร่วงหล่นลงพื้นดินพร้อมขยายพันธุ์งอกงามเป็นไม้ใหญ่บนผืนดินใหม่ได้อย่างแข็งแรง ไม่เพียงเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกชาวนาจังหวัดร้อยเอ็ดฝันถึงการสร้างธุรกิจให้กระจายสู่พื้นที่ต่างๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นที่มาของชื่อบริษัทในวันที่เริ่มต้นก้าวแรกบนเส้นทางงานวิศวกรรมออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (EPC Turnkey) เพื่อย้ำชัดในความมุ่งมั่นตั้งใจขยายอาณาจักรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง “แต่เดิมศแบงก่อตั้งในปี 2548 รับงานวิศวกรรม EPC ซึ่งมีที่มาจากคำว่า สะแบง เป็นภาษาถิ่นเรียกชื่อดอกไม้หรือต้นไม้ที่ดอกเป็นสีแดง เมื่อร่วงหล่นจะหมุนคล้ายๆ ลูกยาง ด้วยความที่พื้นเพเราเป็นคนภาคอีสานจังหวัดร้อยเอ็ด ภาพที่เห็นจะเป็นที่นา ต้นหญ้าและต้นสะแบง เราจะเห็นดอกค่อยๆ ปลิวตามลมพัด พอตกที่ใหม่ก็เกิดเป็นต้นใหม่ขึ้นมาได้ เราชอบคอนเซ็ปต์นี้และเป็นภาพจำว่า วันหนึ่งถ้าเราทำธุรกิจ เราอยากเห็นธุรกิจเรากระจายและเติบโตใหม่ในที่ต่างๆ กัน” เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CV ยังคงระลึกถึงการก่อตั้งธุรกิจแรกในชื่อ บริษัท ศแบง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท ศแบง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จากความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และประสบการณ์ทำงานเป็นวิศวกรรมซ่อมบำรุงเครื่องจักรในโรงงานและอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอินเวอร์เตอร์ ก่อนจะเบนเข็มมาเป็นพนักงานขายระบบไฟฟ้า หรือเครื่องมือวัดในโครงการขนาดใหญ่กับบริษัทต่างชาติ รวมประมาณ 5 ปี จึงตัดสินใจลาออกเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองในวัย 27 ปี
- ก้าวสู่ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า -
บนความมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนทางด้านพลังงานสู่การจัดตั้ง บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ปี 2556 เพื่อขยายการลงทุนและให้บริการในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วจำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 26.2 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 3 โครงการและโครงการโรงไฟฟ้าขยะ 1 โครงการ รวมทั้งยังเดินหน้าสร้างการเติบโตในธุรกิจด้านวิศวกรรมและธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัทได้เริ่มต้นพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลโครงการแรกที่จังหวัดแพร่ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.4 เมกะวัตต์ ซึ่งเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 2559 นอกจากนั้น บริษัทยังนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากยุโรปซึ่งมีประสบการณ์ด้านการออกแบบหม้อไอน้ำมากว่า 40 ปี ใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล CPL จังหวัดพิษณุโลก ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 4.9 เมกะวัตต์ โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมปี 2561 รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล RTB จังหวัดสงขลา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ ซึ่งเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ปี 2563 “1 ใน 4 โรงไฟฟ้าของเราเป็นโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมที่พิจิตร ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพิเศษที่เราตั้งใจทำในขนาดเล็กเพราะเวลาคนนึกภาพโรงไฟฟ้ามักจะบอกว่า ยิ่งใหญ่ยิ่งถูก ยิ่งเล็กยิ่งมีโอกาสคุ้มทุนยาก แต่เราสามารถนำประสบการณ์ที่ทำ EPC มากกว่า 10 ปีออกแบบโรงไฟฟ้าขยะที่มีกำลังการผลิตแค่ 2 เมกะวัตต์ และพิสูจน์ให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าขนาดนี้ก็สามารถลงทุนและทำกำไรได้ทุกเดือนในปัจจุบัน”

- ขยายพอร์ตพลังงานยั่งยืน -
โอกาสทางธุรกิจที่ฉายชัดจากเมกะเทรนด์ชีวมวลโลกและช่องว่างสร้างการเติบโตในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีผลงานตลอดเส้นทางเป็นเครื่องพิสูจน์ ทำให้เศรษฐศิริมั่นใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมระดมทุนขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อความมั่นคงและการเติบโตอย่างยั่งยืน “การระดมทุนหลักๆ เพื่อขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายโรงไฟฟ้ารวมทั้งธุรกิจวิศวกรรมเพิ่มเติม เพื่อสร้างความหลากหลายให้ธุรกิจวิศวกรรมทั้งกลุ่มลูกค้าและกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งภาพการเติบโต 3 ปีของเราเน้นที่ความมั่นคงและการเติบโตบนความแข็งแกร่งภายในของบริษัทอย่างโรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงไฟฟ้าขยะ โดยอนาคตเชื่อว่าต้องมีการบาลานซ์โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากธรรมชาติโดยตรง เช่น โซลาร์ เพื่อให้เกิดการกระจายความเสี่ยง แต่ถ้าระยะสั้น 3 ปี เราเน้นความมั่นคงในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เราทำได้ดี” นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 โครงการ ซึ่งคาดการณ์ก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปีนี้ ได้แก่ โครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะมูลฝอยเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) จังหวัดพิจิตร ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 120 ตัน/วัน และโครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะมูลฝอยเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ที่ Vientiane สปป.ลาว โดยมีขนาดกำลังการผลิตประมาณ 200 ตัน/วัน
- มหาเศรษฐี “JOHN GOFF” แร้งแห่งวงการน้ำมัน
- วัลลภา ไตรโสรัส แม่ทัพ AWC POWER OF LAND DEVELOPER
- ทำเนียบ FORBES 30 UNDER 30 ASIA 2021 ตอนที่ 2
คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2564 ในรูปแบบ e-magazine
