ความสำเร็จที่เริ่มต้นจากศูนย์ของเด็กวัด ไต่ระดับสู่เจ้าของธุรกิจรายได้มากกว่า 7 พันล้านบาท พร้อมเพิ่มสปีด JIB Computer เข้าเส้นชัยหมื่นล้านภายใน 3 ปี เบื้องหลังคอมพิวเตอร์ที่เรียงรายอยู่ใน 130 ร้านสาขาทั่วประเทศกับการเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านบาท คงเป็นได้เพียงแค่ภาพฝันของเด็กชายที่เกิดและเติบโตในครอบครัวผู้ใช้แรงงาน ซึ่งไม่อาจจะคิดไปไกลเกินกว่าการมองหาหนทางทำงานรับจ้างสารพัด เพื่อนำเงินค่าแรงช่วยหล่อเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอดในแต่ละวัน
“ผมเกิดในครอบครัวที่ยากจน พ่อแม่แยกทางกันตอนผมอยู่ป.4 พ่อแต่งงานใหม่แม่ต้องทำงานรับจ้างทั่วไปเลี้ยงลูก 4 คนผมเห็นแม่ลำบากมาก ในวันนั้นผมไม่ได้คิดไกล แค่อยากให้แม่สบายกว่านี้ ไม่ต้องทำงานหนัก” สมยศ เชาวลิต กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.ไอ.บี.คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ยังคงจดจำได้ถึงแรงดลใจของความมุมานะนับตั้งแต่ยังเป็นเด็กรับจ้างใช้แรงงานปอกมะพร้าวในวัยไม่ถึง 10 ปี จนถึงวันที่ก้าวเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องคอมพิวเตอร์ประกอบ และค้าปลีกสินค้าไอทีครบวงจร เมื่อพจนานุกรมชีวิตของซีอีโอพันล้านไม่เคยมีคำว่า “โชคช่วย” สมยศเริ่มต้นลิขิตชีวิตตัวเองหลังลาสิกขาจากการเป็นสามเณรในวัดหงส์รัตนาราม ซึ่งเขาได้ใช้เวลา 2 ปี ศึกษาทางธรรมชั้นตรี โท ถึงเปรียญธรรม 2 ประโยค เพื่อกลับมาช่วยครอบครัวทำงานหารายได้ในฐานะกำลังหลักของครอบครัวพร้อมกับการศึกษาต่อในโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ ศูนย์ศึกษานอกโรงเรียน อ. ลานสกา จ. นครศรีธรรมราช บนความเชื่อมั่นในพลังของความเพียรพยายามที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้เด็กชายตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองคอนเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกับหลวงตา ซึ่งเป็นตาแท้ๆ เพื่อศึกษาต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนอนันต์และวิชาชีพช่างเทคนิคจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี เอกบริหารธุรกิจคอมพิวเตอร์โดยเป็นเด็กวัดอาศัยอยู่กับหลวงตาและส่งเสียตัวเองเรียนด้วยการตระเวนชกมวยร่วม 6 ปีได้รับชัยชนะเกือบ 20 ครั้งจากทั้งหมด 22 ครั้ง พร้อมฉายาในสังเวียนที่หลากหลาย เช่น ดาวยศ เจริญศักดิ์ หรือช.สวนอนันต์ เป็นต้น แม้พื้นฐานด้านการศึกษาที่ใช้เวลาสั่งสมน้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้น แต่สมยศไม่ย่อท้อในการเรียนรู้พร้อมกับทำงานเพื่อส่งเสียตัวเอง “การเรียนสายสามัญวิทย์-คณิตยากมากเพราะพื้นฐานความรู้ของผมไม่เพียงพอหลวงตาแนะนำให้อ่านหนังสือ และศึกษาก่อนไปเรียนด้วยตัวเองจนจบมัธยมปลายผมเลือกเรียนคอมพิวเตอร์ เพราะสนใจการทำงานในออฟฟิศ จากเกรดเฉลี่ย 3.9 ทำให้ผมได้รับโอกาสทำงานในธนาคารเมื่อปี 2538” ผลของความมุ่งมั่นด้านการศึกษากลายเป็นใบเบิกทางให้สมยศสามารถเข้าไปทำงานในสายงานนิติกรรมสินเชื่อ กลุ่มบริหารสินเชื่อบุคคล ฝ่ายสินเชื่อบุคคล ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมองหาพนักงานระดับชั้นต้นที่มีผลการเรียนดีตามสถานศึกษาต่างๆ ในช่วงเวลาที่คอมพิวเตอร์กำลังแทนที่เครื่องพิมพ์ดีด โดยเฉพาะด้านการทำนิติกรรมสัญญาของธนาคารที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำแบบฟอร์มและลดข้อผิดพลาดให้น้อยลง เทรนด์ที่เกิดขึ้นเปิดทางให้สมยศ สามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้วยการให้บริการจัดหาและประกอบคอมพิวเตอร์ตามความต้องการ รวมถึงบริการหลังการขายทั้งคำแนะนำ คำปรึกษา และการซ่อมบำรุง โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีก่อนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ “ผมพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดให้ตรงกับความต้องการ ทำให้ลูกค้าติดใจเพราะเครื่องไม่ค่อยมีปัญหา โดยเลือกเปิดร้านค้าแรกที่เซียร์ รังสิต เน้นสินค้าครบครันและการบริการ โดยถามลูกค้าก่อนทุกครั้งว่าต้องการใช้งานด้านไหน เพื่อเตรียมเครื่องให้พอดีกับความต้องการ” เติบโตติดสปีด จุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนชัดถึงภาษิต “เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้” ของสมยศเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาตัดสินใจยื่นใบลาออกจากธนาคารที่ทำงานอยู่ร่วม 8 ปี โดยรวบรวมเงินก้อนสุดท้ายจากเงินสำรองเลี้ยงชีพ เทหมดหน้าตัก 2 แสนบาท เช่าพื้นที่ 18 ตารางเมตร เปิดร้าน J.I.B. Computer (เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น JIB Computer) สาขาแรกที่เซียร์ รังสิต ในปี 2544 และภายในเวลาเพียง 3 เดือนกว่าก็สามารถขยับขยายสู่สาขาที่สองบนชั้นเดียวกัน โดยสามารถทำรายได้ถึงร้อยล้านบาทภายในปีแรกที่ดำเนินธุรกิจ สมยศ ย้อนถึงช่วงเวลาที่ตัดสินใจเดินหน้าสู่ความท้าทายใหม่ ในธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น การดิสเครดิต การตัดราคา หรือการกีดกันไม่ให้จำหน่ายสินค้า ล้วนเป็นความท้าทายที่กระตุ้นเลือดนักสู้ให้ไม่ยอมแพ้ ซีอีโอพันล้านในวัย 44 ปี กล่าวถึงคีย์สำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างแตกต่าง “ผมให้ความสำคัญกับการให้บริการของพนักงานทั้งความรู้และการแนะนำลูกค้าที่ต้องมีความจริงใจ พร้อมสร้างความประทับใจให้กับลูกค้านึกถึง JIB Computer เป็นอันดับหนึ่งในใจ ผมคิดว่าเรื่องการบริการของเรานำคู่แข่ง” มั่นใจหมื่นล้านใน 3 ปี จากกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่แตกต่างและโดดเด่น ทำให้ JIB สามารถสร้างรายได้เติบโตสวนกระแสกำลังซื้อที่หดตัว ด้วยกำไรขั้นต้นทะลุ 15% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ด้วยรายได้ 7 พันล้านบาทในปัจจุบัน จากจำนวน 6.15 พันล้านบาทของปี 2558 และน่าจะสามารถปิดรายได้ปีนี้ที่ 7.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ประกอบ 50% คอมพิวเตอร์พกพา 30% และสินค้าไอทีอื่นๆ ประมาณ 20% เช่น เครื่องพิมพ์ แฟลชไดร์ฟ ฮาร์ดดิสก์พกพา (external hard-disk) เมาส์ และคีย์บอร์ด เป็นต้น ขณะเดียวกัน JIB Computer ยังโดดเด่นในด้านการสร้างแบรนด์ผ่านคุณภาพสินค้าที่ครบครัน และการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานแท้จริง ด้วยการขยายสาขาแบบปูพรมทั่วประเทศจำนวนมากกว่า 130 สาขา เพื่อสร้างการจดจำในแบรนด์และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถติดต่อใช้บริการได้ทุกสาขาภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ส่งผลให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวไม่ว่าจะเป็น ความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่เราให้ความสำคัญ ในช่วง 3 ปีหลัง ด้วยการรีแบรนด์ดิ้งโลโก้และการตกแต่งร้าน การให้บริการจากพนักงานที่ได้รับการอบรม สินค้าครบ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ประกอบสำหรับนักออกแบบที่ต้องการเครื่องสเปกสูง หรือตลาดผู้เล่นเกมที่ต้องการเครื่องสเปกแรง สำหรับเวอร์ชั่นต่อหลังจากปั้นแบรนด์ JIB Computer ให้ครองใจผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้สำเร็จ สมยศยังคงมุ่งมั่นขยายอาณาจักรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อย้ำภาพความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องประกอบสเปกแรง และผู้นำในกลุ่มสินค้า gaming gear รวมถึงการพัฒนาธุรกิจให้มากกว่าร้านจำหน่ายสินค้าไอทีครบวงจร ด้วยความมั่นใจในเป้าหมายหมื่นล้านภายใน 3 ปีเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวฉายชัดถึงโอกาสการต่อยอดธุรกิจร้านค้าปลีกจำหน่ายสินค้าไอทีไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมในแบรนด์ “mine” และ “mine Xtreme” เจาะตลาดคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการตกแต่ง ประกอบมีดีไซน์ สเปกแรง และใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ (modding) เน้นกลุ่มลูกค้าตลาดระดับกลางบน ที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงกลุ่มเกมเมอร์ที่ต้องการเครื่องสเปกแรง ขณะเดียวกันยังขยายธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ “Mine Café” สาขาแรกบนพื้นที่ 150 ตารางเมตรกับคอมพิวเตอร์ 52 ชุด ใช้อินเทอร์เน็ตความแรงระดับอัลตรา ไฮสปีด ความเร็วสูงสุด 200 Mbps แรงที่สุดในปัจจุบัน โดยสมยศวางเป้าหมายขยาย 10 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนเงินลงทุนสาขาละ 7 ล้านบาท เพื่อให้เป็นพื้นที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นอกเหนือจากการทุ่มเทพัฒนาช่องทางจำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง สมยศยังเล็งเห็นโอกาสสร้างฐานการเติบโตที่แข็งแกร่งในกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจ โดยใช้จุดเด่นด้านการให้บริการและชื่อเสียงของแบรนด์ ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำในประเทศจำนวนมาก เช่น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด เป็นต้น “ผมเห็นความเป็นไปได้ที่จะทำรายได้ถึง 1 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปี ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การให้บริการที่ครอบคลุมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ทั้งรายย่อยและองค์กรซึ่งหลังจากแต่ละธุรกิจเริ่มสร้างรายได้ เราจะเตรียมตัวศึกษาข้อมูลการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ใช่เพราะต้องการเงินทุน แต่เพื่อความมั่นคงและความเป็นมาตรฐาน” นับตั้งแต่ก้าวที่ศูนย์ถึงหลายพันล้าน สมยศ ยังคงเน้นย้ำเรื่อง “ความจริงใจและซื่อสัตย์” ต่อลูกค้า รวมถึงเปิดรับความคิดเห็น ข้อเสนอแนะการให้บริการ ความพึงพอใจ ตลอดจนเรื่องร้องเรียนต่างๆ ด้วยตัวเอง พร้อมเป็นแบบอย่างปฏิบัติให้ทีมงานได้เห็นถึงความจริงใจในการให้บริการ ซึ่งเป็นหนึ่งในความโดดเด่นของบริษัทที่สามารถครองใจลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องยาวนานคลิ๊กอ่านฉบับเต็ม "สมยศ เชาวลิต พลิกชีวิตติดลบสู่ไอทีพันล้าน" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2016 ในรูปแบบ e-Magazine