ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ ปั้นพรีเมียมแบรนด์ MJD - Forbes Thailand

ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ ปั้นพรีเมียมแบรนด์ MJD

ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์  1 ใน 3 ทหารเสือพี่น้องที่ร่วมกันเบนเข็มเส้นทางธุรกิจโรงภาพยนตร์ของครอบครัวสู่การบุกเบิกตลาดคอนโดมิเนียมหรู ชิงโอกาสหลังวิกฤตเศรษฐกิจสร้างชื่อ “เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” พร้อมเดินหน้าตอบโจทย์ดีมานด์เหนือระดับ

เมื่อดีเอ็นเอของนักสู้ทางธุรกิจและความสนใจที่ดินทำเลทองได้รับการถ่ายทอดจากผู้บุกเบิกธุรกิจโรงภาพยนตร์สู่บรรดาลูกไม้ที่เลือกเติบโตไกลต้นบนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ ด้วยพลังสร้างสรรค์ของคลื่นลูกใหม่ที่ผนึกกำาลังสามพี่น้องฟันฝ่ามรสุมทางเศรษฐกิจและบททดสอบอันท้าทายผงาดคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่อง “เรามีพี่น้องทั้งหมด 3 คน คุณเพชรลดา คุณสุริยน และผม ซึ่งช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 พี่สาวและพี่ชายเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงร่วมกันก่อตั้งบริษัทในปี 2542 เราเป็นรายแรกที่ทำคอนโดมิเนียมระดับบนราคาเปิดตัว 70,000-80,000 บาทต่อตารางเมตรถือเป็นจังหวะที่ดีทำให้เราสามารถเริ่มต้นในตลาดลักชัวรีและทำคอนโดมิเนียมในเซกเมนต์นี้เรื่อยมา” ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำากัด (มหาชน) เล่าถึงการสวนกระแสเศรษฐกิจของสุริยนและเพชรลดาที่เลือกสร้างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับบนแทนการเดินตามรอยของจำเริญ พูลวรลักษณ์ ผู้เป็นบิดาที่สร้างชื่อในวงการโรงภาพยนตร์ไทย หลังจากตระเวนศึกษาและเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกไล่ตั้งแต่จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ถึงสหรัฐอเมริกา รวมถึงชิมลางในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้วยโครงการบ้าน “การ์เด้นวิว” ย่านลาดพร้าว ระดับราคา 5 ล้านบาท จำานวน 30 ยูนิต สุริยนและเพชรลดา พร้อมทีมงาน 5 คน จึงมั่นใจเดิมพันเงินลงทุนก้อนใหญ่ในที่ดินราว 3 ไร่กว่าพัฒนาคอนโดฯ หรูกลางซอยทองหล่อชื่อ Hampton Thonglor 10 ขนาด 30 ชั้น จำานวนรวม 73 ยูนิต มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท ความสำเร็จที่ได้รับจาก Hampton Thonglor 10 ไม่เพียงทำให้บริษัทสามารถแจ้งเกิดในวงการอสังหาริมทรัพย์ระดับบนเต็มตัว แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้พี่น้องพูลวรลักษณ์เดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรูอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Fullerton Sukhumvit ขนาด 37 ชั้น 130 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.6 พันล้านบาท และ Watermark Chaophraya River คอนโดมิเนียมริมแม่น้ำาเจ้าพระยา 2 อาคารขนาด 52 ชั้น และ 28 ชั้น จำานวนห้องชุดรวม 486 ยูนิต มูลค่าโครงการ 5.7 พันล้านบาทในปี 2547 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2550

“Learning by Doing”

แม้จะเป็นมือหนึ่งด้านเศรษฐศาสตร์ที่สามารถคว้าปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จุลภาค เศรษฐศาสตร์มิติประยุกต์ และเศรษฐศาสตร์มิติจุลภาค จาก University of Southern California (USC) และปริญญาโทจาก Boston University สหรัฐอเมริกา รวมถึงประสบการณ์เป็นผู้ช่วยงานวิจัยและการสอนให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย USC กว่า 6 ปี แต่บนเส้นทางอสังหาริมทรัพย์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ซึ่งแตกต่างจากความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างสิ้นเชิง ด้านคีย์สำคัญของความสำเร็จอยู่ที่การเลือก “ทำเล” ความเสี่ยงต่ำ โดยพิจารณาจากโอกาสการปรับตัวขึ้นของราคาที่ดินอย่างต่อเนื่องในอนาคต พร้อมนำเสนอคุณภาพที่ดีที่สุดและการออกแบบโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการรวมถึงไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี “ส่วนตัวผมคิดว่า ผู้บริหารควรลงในรายละเอียด micro manage ไม่ได้บอกว่าเป็นวิธีที่ถูก แต่เป็นวิธีที่เวิร์กกับธุรกิจนี้ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทที่เราเห็นตั้งแต่แรกคุณไม่สามารถสั่งการจากเบื้องบนและให้ข้างล่างส่งรายงานได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานการตลาด การสื่อสาร งานขาย งานพรีเซลส์ เราลงไปมอนิเตอร์ เราดูการออกแบบอย่างละเอียด ฟังก์ชั่นการใช้สอย ขนาดหรือตำแหน่งของห้องที่เหมาะสม อุปสรรคอะไรบ้างในการอยู่อาศัยจริง ผมให้ความสำคัญกับการเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งหมด”

ปรับพอร์ตเช่าเพิ่มรายได้

ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็นผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยระดับบน สามทหารเสือเล็งเห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ด้วยการกระจายความเสี่ยงด้านรายได้ไปยังการแตกยอดธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานในรูปแบบมิกซ์ยูส ที่มีทั้งคอนโดมิเนียมและร้านค้า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน “เราต้องการให้บริษัทเติบโตเฉลี่ย 10-20% ต่อปี ซึ่งควรมี recurring income ให้รายได้สม่ำเสมอและต่อเนื่อง ด้วยการเพิ่มสัดส่วนของสำนักงานและโรงแรมจาก 5% เป็น 10% โดยธุรกิจหลักยังคงเป็น residential และคอนโดมิเนียม ซึ่งปัจจุบันเรามี backlog ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ในปีนี้รายได้น่าจะไม่เกิน 20%” ดร.สุริยาให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของบริษัทในปัจจุบัน สำหรับธุรกิจโรงแรมของบริษัทเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2552 และดำาเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โครงการ Marrakesh Resort & Spa Hua Hin ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร และโรงแรม 4 ชั้น 6 อาคาร จำานวนห้องชุดรวม 345 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 2.6 พันล้านบาท และโครงการ Reflection Jomtien Beach Pattaya คอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรีจำานวน 2 อาคารขนาด 52 ชั้น และ 42 ชั้น จำานวนห้องชุดรวม 334 ยูนิตมูลค่าโครงการรวม 4.3 พันล้านบาท ดร.สุริยามั่นใจในความสามารถเสาะหาที่ดินศักยภาพ เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หรูที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสนใจเรื่องทำเลเป็นหลัก รวมถึงการออกแบบโครงการที่สามารถตอบสนองความต้องการและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยระดับบน จากการเก็บศึกษาและเก็บข้อมูลผลตอบรับในโครงการที่ผ่านมา ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการมีความน่าสนใจหรือได้เปรียบโครงการอื่นที่อยู่ในทำเลใกล้เคียงกัน “ปัจจุบันลูกค้าทำการบ้านมาก มีความรู้และเปรียบเทียบโครงการหลายแห่ง ถ้าบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ใกล้เคียงกัน เซกเมนต์เดียวกัน ผมคิดว่าลูกค้ามองทำเลเป็นหลักแต่ถ้าในทำเลเดียวกัน เราเน้นดีไซน์ โดยพยายามตอบโจทย์และเดาใจลูกค้าให้โครงการออกมาตรงใจ เราทำมาหลายโครงการ key learning ตรงนี้ สามารถเพิ่มเป็น value ให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกเรา ซึ่งในอนาคตเรายังคงเน้นตลาดไฮเอนด์ ต่อให้จะปรับเปลี่ยนเซกเมนท์ไป mid-high แต่คอนเซปท์ความลักชัวรีของ MJD ยังอยู่” ด้านสไตล์การบริหารของดร.สุริยาให้ความสำคัญกับการทำงานทุกขั้นตอน และดูแลทีมงานอย่างใกล้ชิด ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของพนักงานทุกคนที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในองค์กร พร้อมทั้งพยายามปลูกฝังให้พนักงานรู้สึกมีความส่วนเป็นเจ้าของหรือ “ownership mindset” เพื่อให้เกิดความมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทให้ดีที่สุด และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ภาพ: กิตติเดช เจริญพร  
ติดตามอ่านฉบับเต็ม "ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์ ปั้นพรีเมียมแบรนด์ MJD" ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2562 หรือคลิกอ่านในรูปแบบ e-Magazine