4 บริษัท StartUp ที่สร้างมูลค่าบริษัทหลักพันล้านเหรียญสหรัฐฯ - Forbes Thailand

4 บริษัท StartUp ที่สร้างมูลค่าบริษัทหลักพันล้านเหรียญสหรัฐฯ

FORBES THAILAND / ADMIN
10 Mar 2016 | 03:38 PM
READ 11694
เรื่อง: MIGUEL HELFT ภาพ: CHRISTIAN PEACOCK เรียบเรียง: เอมวลี อัศวเปรม Stripe CEO Patrick Collison ก่อตั้งปี 2010 มูลค่า: 5 พันล้านเหรียญ (ณ กรกฎาคม 2015) ตั้งแต่ Patrick Collison ก่อตั้ง Stripe ร่วมกับ John น้องชายของเขาในปี 2010 Stripe ได้กลายมาเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญแห่งหนึ่งของบรรดายอดฝีมือด้านไอทีใน San Francisco แม้จะมีทีมการตลาดเล็กๆ แค่ 20 คน แต่ Stripe มีระบบการชำระเงินรองรับบริษัทนับแสนแห่งในการทำธุรกรรมมูลค่าปีละหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ลูกค้าของบริษัทมีทั้งบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อาทิ LyftKickstarter และ Twitter ตลอดจนยักษ์ใหญ่ที่มั่นคงอย่าง Salesforce และ Rackspace โดย Stripeมีแผนที่จะต่อยอดเทคโนโลยีของบริษัทเพื่อรุกธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่นเดียวกับ Apple Pay และ Alipay“ตลาดมันใหญ่มาก” Collison กล่าว “ทุกวันนี้บริษัทส่วนใหญ่หันมาใช้บริการทางการเงินออนไลน์ไม่มากก็น้อย ผมไม่แปลกใจกับมูลค่าตลาดแต่รู้สึกทึ่งที่ธุรกิจนี้สามารถเติบโตได้รวดเร็วขนาดนี้”
Medallia CEO Borge HaldPresident Amy Pressman ก่อตั้งปี 2001 มูลค่า: 1.25 พันล้านเหรียญ (ณ กรกฎาคม 2015) ในช่วง 14 ปีของ “ความสำเร็จข้ามคืน” Medallia รอดพ้นจากวิกฤตฟองสบู่แตกมาแล้วสองครั้ง (วิกฤตดอทคอมและวิกฤตสินเชื่อ subprime) ในขณะที่บริษัทหลายแห่งกำลังฟาดฟันกันในด้านกลยุทธ์ความสัมพันธ์ลูกค้า บริษัทจากเมือง Palo Alto แห่งนี้เลือกที่รับมือกับเรื่อง “ประสบการณ์ลูกค้า” บริษัทให้บริการเครื่องมือสำหรับสำรวจ ความเห็น วิเคราะห์ข้อมูล ตลอดจนเครื่องมือเครือข่ายสังคมออนไลน์สำหรับธุรกิจในการติดตามว่าลูกค้าของพวกเขาคิดเห็นเช่นไร วิธีการนี้ทำให้ลูกค้าอย่าง Hilton เข้าใจว่าแขกของโรมแรมชอบฟูกนอนแบบใหม่หรือไม่ หรือ Delta ก็สามารถทราบได้ว่าผู้โดยสารไม่พอใจกับการที่เที่ยวบินล่าช้า (และกำลังทวีตด้วยความโกรธเกรี้ยว) ในโลกที่แบรนด์ต่างๆ ทุ่มเทความพยายามเพื่อให้เกิดหลักการ “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” (customer-centric) บริษัทกว่า 500 แห่ง เชื่อในบริการของ Medallia ซึ่งมีสัญญารายปีเฉลี่ยในตัวเลขเจ็ดหลัก Amy Pressman ซึ่งก่อตั้งบริษัทร่วมกับ Borge Hald สามีของเธอ และดำรงตำแหน่งประธาน กล่าวว่า “บริษัทหลายแห่งกลัวว่าตัวเองจะเจอปัญหาที่มองไม่เห็นทั้งที่อยู่ตรงหน้า แต่พวกเขาก็เต็มกลืนกับปริมาณข้อมูล” Doug Leone หุ้นส่วนของ Sequoia Capital ติดต่อขอซื้อ Medallia ในปี 2011 อีกเพียง 24 ชั่วโมงถัดมา เขามานั่งหารือเงื่อนไข ข้อตกลงซื้อขายที่สำนักงานของบริษัท พ.ศ. นี้ใครๆ ก็บอกว่าตัวเองยึด “ลูกค้าเป็นที่ตั้ง” จนถึงตอนนี้ Medallia ระดมทุนได้แล้วกว่า 250 ล้านเหรียญ ผู้สนับสนุนรายใหญ่คือ Sequoia
Domo CEO Josh James ก่อตั้งปี 2010 มูลค่า: 2 พันล้านเหรียญ (ณ เมษายน 2015) Josh James ปราดเปรื่องเรื่องการลงทุนในภาวะฟองสบู่ เขาเริ่มกิจการยูนิคอร์นแห่งแรกเมื่อปี 1996 ภายใต้ชื่อ Omniture ในช่วงยุคดอทคอมบูมถึงขีดสุด มีผู้เสนอซื้อบริษัทของเขาโดยคิดมูลค่าจากจำนวนวิศวกรที่ทำงานอยู่ที่นั่นเท่านั้น James คาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้องด้วยการปฏิเสธข้อเสนอ ในปี 2006 เขานำ Omniture เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และขายให้กับ Adobe เป็นเงิน 1.8 พันล้านเหรียญในอีก 3 ปีต่อมา James เปิดเผยว่า ผู้ลงทุนของ Domo ผู้ให้บริการเครื่องมือในการวิเคราะห์ธุรกิจหรือธุรกิจอัจฉริยะ (business intelligence) ทางอินเทอร์เน็ต มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะตรวจสอบตัวเลขการดำเนินงานของบริษัท แต่พวกเขามีความเข้าใจในบริการซอฟต์แวร์แบบมีลิขสิทธิ์ (Software as a Service หรือ SaaS) ที่ Domo นำเสนอ “นักลงทุนเข้าใจโมเดลธุรกิจของเรา” เขากล่าว รายได้ของ Domo เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ ปี ตั้งแต่เปิดกิจการเมื่อปี 2012 และคาดว่าจะทำรายได้ทะลุ 100 ล้านเหรียญในปี 2016 ลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ ซึ่งรวมถึง GENissan และ MasterCard ไม่เพียงใช้บริการของ Domo อย่างต่อเนื่อง แต่ยังใช้จ่ายกับบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 170 ในปีที่สอง Jamesเล่าว่ากลยุทธ์สำคัญในการฝ่าฟันเศรษฐกิจขาลงก็คือ งบดุลที่แข็งแกร่ง Domo ระดมทุนจากนักลงทุนได้กว่า 450 ล้านเหรียญ “ถ้าคุณไม่มีเงินสดมากพอที่จะสร้างจุดคุ้มทุน คุณไม่มีวันได้กุมชะตาชีวิตตัวเอง”James กล่าว “เรามีเงินสดในมือมากพอจะสร้างจุดคุ้มทุน”
23andMe CEO Anne Wojcicki ก่อตั้งปี 2006 มูลค่า 1.15 พันล้านเหรียญ (ณ ตุลาคม 2015) นับเป็นเก้าปีที่รุ่งโรจน์สำหรับผู้ผลิตชุดทดสอบพันธุกรรม (genetic test) ซึ่งซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ บริษัทจาก Silicon Valley แห่งนี้เปิดดำเนินงานด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นช่องทางสู่ความลับเกี่ยวกับ DNA ของทุกๆ คน แต่แล้วเมื่อสองปีก่อน องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) บอกกับ Anne Wojcicki ซึ่งเป็น CEO ของ 23andMe ว่าเธอไม่สามารถจำหน่ายชุดทดสอบที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้อีกต่อไป ช่วงเดียวกันนั้นเธอกำลังอยู่ระหว่างการหย่าขาดจากสามี Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Googleเธอกล่าวว่า “ปี 2015 ดีกว่าปี 2013 และ 2014 อย่างไม่ต้องสงสัย” แทนที่จะถอดใจ เธอนั่งคิดว่าจะทำอะไรต่อได้บ้างกับข้อมูลพันธุกรรมของลูกค้า 9 แสนคนในฐานข้อมูลวิจัยของ 23andMe เดือนมกราคม เธอประกาศความร่วมมือในการคิดค้นยากับ Genentech โดยได้รับเงินค่างวดงานคิดเป็นมูลค่าราว 60 ล้านเหรียญ เดือนเมษายน เธอจ้างหัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D) ระยะเริ่มต้นของ Genetech ให้มาดูแลงานด้านการคิดค้นยาของบริษัท การคิดค้นยาที่ประสบความสำเร็จเพียงชนิดเดียวก็สามารถทำเงินได้มากกว่าการขายชุดทดสอบพันธุกรรมราคา 99 เหรียญให้ประชากรผู้ใหญ่ทุกคนในอเมริกา ตอนนี้ Wojcicki หวังว่า FDA จะยอมให้ 23andMe จำหน่ายชุดทดสอบสุขภาพอีกครั้ง “การได้เป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่ผ่านขั้นตอนของ FDA และจำหน่ายสินค้าโดยตรงให้กับผู้บริโภคนั้น จะนำพารายได้มหาศาลมาให้” มาถึงช่วงเผด็จศึก เดือนตุลาคม 23andMe ระดมทุน 115 ล้านเหรียญจากนักลงทุนรวมถึง Fidelity เพิ่มมูลค่ายูนิคอร์นของบริษัทขึ้นเป็น 1.15 พันล้านเหรียญจริงอยู่ การคิดค้นยาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ Wojcicki ไม่มีวันล้มเลิกความตั้งใจ และสักวันเธออาจได้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเปิดประตูสู่ระบบดูแลสุขภาพ “นี่เป็นวิสัยทัศน์กว้างไกลหลายปี ในอันที่จะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงเรื่องพันธุกรรมโดยรวม” Wojcicki กล่าว “และนี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น”
อ่านเรื่องราวเพือเป็นแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ JANUARY 2016 ในรูปแบบ E-Magazine

TAGGED ON