โฮ่งทีหลังดังกว่า - Forbes Thailand

โฮ่งทีหลังดังกว่า

FORBES THAILAND / ADMIN
25 May 2017 | 11:58 AM
READ 11648

สองผู้ก่อตั้งที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยจะไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนใน Silicon Valley ได้ แต่ปัจจุบันพวกเขากลับกลายเป็นเจ้าของ Chewy หนึ่งในธุรกิจเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซเอกชนรายใหญ่ที่สุดในอเมริกา

เดือนธันวาคม 2012 Ryan Cohen มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาเงินมาขยายกิจการบริษัท Chewy ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ก่อตั้งมาได้หนึ่งปี โดย Cohen ซึ่งลาออกจากมหาวิทยาลัยก่อนจบการศึกษา สี่ปีต่อมา Chewy ก็กลายเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซเอกชนที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งตั้งเป้าที่จะทำรายได้ให้ได้ 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2016 และมากกว่า 1.5 พันล้านเหรียญ ในปี 2017 Cohen ซึ่งนำกลยุทธ์การให้บริการลูกค้าอันยอดเยี่ยมของ “ร้านค้าออนไลน์ Zappos” มาเป็นแม่แบบ เขาจัดพนักงานจำนวน 416 คนจากพนักงานของ Chewy ทั้งหมด 3,400 คนมาทำหน้าที่รับโทรศัพท์และตอบข้อความโดยแบ่งการทำงานออกเป็นกะตลอด 24 ชั่วโมง “เราต้องการเป็นผู้ค้าปลีกผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงอันดับ 1 ของโลก”ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจาก Chewy ยังไม่สามารถทำกำไรได้ ประกอบกับการที่บริษัทได้ใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อดึงดูดลูกค้า ดังนั้นจึงยังบอกไม่ได้ว่าบริษัทจะมีกำไรเมื่อใด Cohen มีพ่อแม่เป็นครูและผู้นำเข้าเครื่องแก้วตั้งใจแน่วแน่มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้วว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นเจ้าของธุรกิจให้ได้ เมื่ออายุ 15 ปี Cohen ค้นพบความมหัศจรรย์ของการตลาดแบบตัวแทนซึ่งก็คือการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการส่งต่อลูกค้าไปยังเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซต่างๆ Cohen มีความสามารถมากจนทำเงินได้หลายพันเหรียญต่อเดือน สำหรับ Michael Day หุ้นส่วนทางธุรกิจคนสำคัญ ร่วมงานกับ Cohen และในปี 2011 ทั้งคู่ได้ทุ่มเงินส่วนตัว 150,000 เหรียญ เริ่มต้นทำธุรกิจจำหน่ายเครื่องประดับผ่านระบบออนไลน์ใน Florida แต่หลังจากที่ทั้งสองมีโอกาสได้ไปงานแสดงสินค้าที่ Miami ก็ได้พบความจริงว่ายังมีอีกหลายอย่างที่พวกตนต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอัญมณีและโลหะมีค่า รวมถึงรู้ตัวว่าพวกตนไม่ได้มีความหลงใหลในธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ในเวลาต่อมา Cohen เกิด “ปิ๊ง” ไอเดียในการทำธุรกิจใหม่ในขณะที่กำลังซื้ออาหารให้ Tylee สุนัขพันธุ์ poodle ขนสีแอปริคอทตัวจิ๋วของตน โดยทั่วไปแล้ว พ่อแม่ที่รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกจะยอมจ่ายไม่อั้นเพื่อซื้ออาหารคุณภาพเยี่ยมให้กับสัตว์เลี้ยงของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่ทำจากส่วนผสมที่เป็นอาหารของคน Cohen และ Day เทขายเครื่องประดับในสต็อกของตนในราคาต่ำกว่าทุน ถอนเงินเพิ่มจากบัญชีส่วนตัวของแต่ละคน และเปลี่ยนเว็บไซต์จำหน่ายเครื่องประดับเป็น Chewy.com และเริ่มต้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากตัวแทนจำหน่าย ทั้งคู่ได้พบศูนย์บริการและกระจายสินค้าภายนอกแห่งหนึ่งที่ Easton รัฐ Pennsylvania และเริ่มดำเนินงานในช่วงปลายปี 2011 ด้วยการจำหน่ายอาหารสุนัขและอาหารแมว รวม 50 แบรนด์ โดยตั้งราคาจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์เท่ากับราคาขายของคู่แข่ง รวมถึงให้ส่วนลดพิเศษกับลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าเป็นครั้งแรกด้วย ถึงแม้ว่า Cohen และ Day จะรับโทรศัพท์ลูกค้าด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่รับเงินเดือน Chewy ก็ยังขาดทุนอยู่ดี อย่างไรก็ตาม Chewy ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 26 ล้านเหรียญในสิ้นปี 2012 ถึงแม้ Cohen จะยังไม่ประสบความสำเร็จใน Silicon Valley แต่ Chewy ก็ได้รับความสนใจจาก Volition Capital ใน Boston ปลายปี 2013 Volition ลงทุนใน Chewy เป็นจำนวนเงิน 15 ล้านเหรียญ เงินทุนที่ได้มานี้ช่วยให้ Cohen สามารถเดินหน้าธุรกิจได้เต็มสูบ Cohen ตัดสินใจที่จะบริหารศูนย์บริการและกระจายสินค้าเอง ถึงแม้ว่าตัวเขาและ Day ซึ่งปัจจุบันนี้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับการบริหารคลังสินค้าเลย ในการเฟ้นหาพนักงานที่มากประสบการณ์ Chewy ได้เชื้อเชิญพนักงานหลายร้อยคนของ Amazon มาร่วมงานผ่าน LinkedIn และในที่สุดก็ได้ว่าจ้างพนักงานจำนวน 100 คนจากคนกลุ่มดังกล่าว กลางปี 2014 Chewy ได้เปิดศูนย์บริการและกระจายสินค้าซึ่งมีพื้นที่ 600,000 ตารางฟุตใน Mechanicsburg รัฐ Pennsylvania การแข่งขันในธุรกิจนี้เป็นไปอย่างดุเดือดเริ่มจากคู่แข่งอย่าง Amazon ลำดับต่อมาได้แก่ Jet.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซจำหน่ายสินค้าแบบขายส่ง โดย Wal-Mart ได้ซื้อกิจการ Jet.com ไปเมื่อปีที่แล้วในราคา 3.3 พันล้านเหรียญ และได้เริ่มจำหน่ายสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง โดยขายสินค้าบางอย่างแบบยกลังในราคาถูกกว่าที่ Chewy จำหน่าย รวมถึง Petco และPetSmart ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 4 พันล้านเหรียญ และ 7 พันล้านเหรียญ ตามลำดับก็ยังคงเป็นคู่แข่งที่มีความชำนาญพิเศษในการขายปลีกสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตาม Cohen กล่าวว่าตนมีความเชื่อมั่นว่าในที่สุดแล้วยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงผ่านอี-คอมเมิร์ซจะมีส่วนแบ่งอย่างน้อย 50% จากยอดขายผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และเชื่อว่า Chewy จะสามารถทำรายได้ได้มากกว่า 5 พันล้านเหรียญ ภายในปี 2020 Cohen กล่าวว่า “เราจะขยายธุรกิจให้ได้ตามเป้า ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่งก็ตาม”
คลิกอ่าน "โฮ่งทีหลังดังกล่าว" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine