การจับมือของกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่ในภาคเหนือผนึกกำลังเปลี่ยนสมรภูมิการแข่งขันให้เป็นสนามธุรกิจของ 4 คู่ค้าร่วมกันยกระดับการให้บริการลิสซิ่งครบวงจร พร้อมเพิ่มช่องทางเปิดสาขาทั่วประเทศสู่เป้าหมาย 830 สาขา ขยายพอร์ตสินเชื่อ 1.48 หมื่นล้านบาทในปี 2566 ที่นำโดย วิชัย ศุภสาธิตกุล
วิชัย ศุภสาธิตกุล ผู้ร่วมก่อตั้งและ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นธุรกิจหลังสำเร็จการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเคมีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเล็งเห็นโอกาสการเติบโตและความต้องการสินเชื่อที่เกิดขึ้นหน้าร้านขณะยังเป็นเถ้าแก่ร้านทอง จนกระทั่งจัดตั้งหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทวีเฮงยานยนต์ ในปี 2537 พร้อมขยายอาณาจักรทวีเฮงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทวีเฮง ลิสซิ่ง, บริษัท ทวีเฮง จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด บ้านดู่ลิสซิ่ง, บริษัท ทวีเฮง ออโตลีสซิ่ง จำกัด, บริษัท ทวีเฮง 2558 จำกัด, บริษัท ทวีเฮง มอเตอร์ จำกัด และ บริษัท ทวีเฮง เงินด่วน จำกัด ขณะที่พัฒนาการสำคัญเกิดขึ้นหลังการร่วมลงทุนระหว่างผู้ประกอบการให้สินเชื่อรายใหญ่ในภาคเหนือในปี 2558 ได้แก่ กลุ่มทวีเฮง กลุ่มพัฒนสิน กลุ่มมิตรเอื้ออารีย์ และกลุ่มสินปราณี โดยให้บริการสินเชื่อที่มีหลักประกันภายใต้เครื่องหมายบริการ “เฮงลิสซิ่ง” พร้อมขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ เช่น สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน สินเชื่อที่มีบ้านและที่ดินเป็นหลักประกัน และให้บริการนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต ซึ่งในช่วงกลางปี 2564 บริษัทได้ให้บริการลูกค้ารายย่อยผ่านสำนักงานสาขาจำนวน 451 สาขา ครอบคลุม 52 จังหวัด “ก่อนหน้านี้เราเป็นสมาชิกของสมาคมลิสซิ่งภาคเหนือจึงรู้จักและพบปะพูดคุยกันมายาวนาน จนวันหนึ่งที่เราตั้งคำถามขึ้นมาว่าทำไมเราต้องแข่งขันกันทั้งที่เป็นเพื่อนกัน และเกิดแนวคิดการเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร หรือคู่แข่งเป็นคู่คิด ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มเห็นพ้องกันในการเปลี่ยนจากการสกัดกั้นจุดอ่อนเป็นการเสริมจุดแข็งร่วมกัน เพื่อลดการแข่งขันเป็นความร่วมมือกัน โดยไม่ได้มุ่งเม้นที่ความมั่งคั่ง เพราะทุกบริษัทสามารถดำเนินธุรกิจมาอย่างราบรื่น แต่เราคำนึงถึงความยั่งยืนเพื่อให้บริการสินเชื่อครบวงจร ตอบสนองลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งเรายังเห็นโอกาสจากลูกค้าจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงิน เช่น ไม่มีเอกสารทางการเงิน ข้อจำกัดเรื่องอาชีพ หรืออายุของหลักทรัพย์” รวบจุดแข็งสินเชื่อเมืองเหนือ ภายใต้กลยุทธ์การลงทุนร่วมสร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยการผนึกจุดแข็งของ 4 กลุ่มสินเชื่อรายใหญ่ในภาคเหนือที่ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อที่มีหลักประกันมากว่า 20 ปี ได้กลายเป็นแต้มต่อสำคัญในการสร้างความได้เปรียบและความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะความเข้าใจความต้องการของผู้ขอสินเชื่อจากผู้บริหารและพนักงานที่มีประสบการณ์รวมถึงความชำนาญจากกลุ่มผู้ถือหุ้น ทั้งการให้สินเชื่อและการบริหารหนี้จำนวนมาก พร้อมทั้งความสัมพันธ์อันดีกับเครือข่ายเต็นท์รถมือสองและนายหน้าที่กระจายตัวตามจังหวัดต่างๆ อย่างยาวนาน “จาก 147 สาขาในปี 2559 เราเริ่มขยายสาขาไปภาคเหนือ ภาคกลาง และตะวันตก รวม 451 สาขาในปัจจุบัน โดยเรายังเปิดศูนย์ประมูลรถของบริษัท 4 แห่งในปี 2562 และขยายไปทั่วภูมิภาคของประเทศรวม 7 แห่ง เพื่อรองรับกับธุรกิจของเราที่ให้บริการสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน ทำให้เราสามารถจัดการประมูลรถได้เองไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้บริษัทประมูลรถหรือองค์กรอื่น โดยเรายังสามารถใช้ลานประมูลเป็นศูนย์การเรียนรู้ภาคปฏิบัติให้กับพนักงานใหม่ได้สังเกตการณ์รถหลากหลายประเภท ทั้งการดูสภาพรถและการตีราคา เป็นต้น” ด้านพนักงานถือเป็นหัวหอกสำคัญขององค์กร และเป็นทรัพยากรอันมีค่าที่สุดของบริษัท "ช่วงเริ่มต้นของการรวมตัวกันที่เราไม่ได้ทิ้งพนักงานของทั้ง 4 บริษัทเลย เพราะองค์ความรู้และประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องการทำธุรกิจเชิงลึก มันฝังอยู่ในตัวของพนักงานทั้งหมด ซึ่งพนักงานตอนนั้นน่าจะประมาณร้อยกว่าคนได้เป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยี วิธีการทำงาน หรือพฤติกรรมผู้บริโภคให้กับพนักงานที่เริ่มทยอยเข้ามาใหม่ในปัจจุบันน่าจะประมาณ 1,500 คน” วิชัยกล่าว รุกขยายสาขาทั่วประเทศ แม้บริษัทจะสามารถวางรากฐานธุรกิจสินเชื่อในพื้นที่ภาคเหนือไว้อย่างแข็งแกร่งและปักหมุดสาขาทั่วประเทศกว่า 451 สาขาใน 52 จังหวัด แต่วิชัยและผู้ร่วมก่อตั้งยังคงเล็งเห็นโอกาสการให้บริการสินเชื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทอย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งในการนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย “แรงผลักดันการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเป้าหมายของเราตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทจาก 4 กลุ่มเดิม ซึ่งเราเล็งเห็นโอกาสการขยายตัวจากกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมไม่ได้จำนวนมาก โดยการที่เราเข้าไปให้บริการสินเชื่อลูกค้าให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนระดับสถาบันการเงิน เราจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน ซึ่งเรามีกลุ่มลูกค้าของเราที่บริการกันแบบเข้าใจและกลับมาเป็นลูกค้ารอบใหม่หลังชำระปิดบัญชีแล้ว” ส่วนแผนขยายสาขาเพิ่มเติมได้วางเป้าหมายให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ 830 สาขาในปี 2566 ซึ่งคาดการณ์ใช้เงินลงทุนเฉลี่ยประมาณ 250,000 บาทต่อสาขา โดยบริษัทได้พิจารณาหลายปัจจัยในการขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างๆ เช่น ความหนาแน่นของประชากร รายได้ประชากรต่อหัว สภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น วิชัยแสดงความมั่นใจในศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต ด้วยความพร้อมของบุคลากรร่วมขับเคลื่อนธุรกิจบนค่านิยมองค์กร “HENG” ประกอบด้วย ความซื่อสัตย์ (Honesty) ความเป็นเลิศ (Excellence) ความคิดสร้างสรรค์ (New Idea) และการเติบโตก้าวหน้า (Growth) โดยมุ่งพัฒนาทรัพยากรบุคคลทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้ครอบคลุมทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น ด้านกฎหมายการประเมินมูลค่าหลังประกัน รวมถึงการทบทวนหลักสูตรอย่างสม่ำเสมอ “ผู้ประกอบธุรกิจเดียวกันที่มีการแข่งขันกันสามารถรวมตัวกันได้ถึง 4 กลุ่มเป็นเรื่องยาก แต่เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกัน เราต้องการส่งมอบความยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งเรามองกำไรเป็นเรื่องรองหรือผลพลอยได้ที่มาจากการทำธุรกิจ แต่เราต้องการเห็นเฮงลิสซิ่งเติบโตอย่างมีคุณภาพพร้อมส่งต่อให้กับรุ่นต่อไป โดยดำเนินธุรกิจบนความถูกต้อง ความซื่อสัตย์ กฎหมาย ความโปร่งใส และเป็นธรรม ซึ่งเราต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและทำสิ่งที่ดี เพราะถ้าสังคมดีเราก็จะได้รับสิ่งที่ดีไปด้วย โดยบริษัทนี้จะนำประสบการณ์ที่สั่งสมมาในธุรกิจหลายทศวรรษประกอบร่างกับผู้บริหารมืออาชีพในสายงานนี้โดยตรงเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” ภาพ: บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอลคลิกอ่านบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2564 ในรูปแบบ e-magazine