บุกโรงงานผลิตนวัตกรรมสุดล้ำในสวีเดน - Forbes Thailand

บุกโรงงานผลิตนวัตกรรมสุดล้ำในสวีเดน

FORBES THAILAND / ADMIN
22 Sep 2016 | 02:31 PM
READ 11045

Christian von Koenigsegg สร้างรถยนต์ซูเปอร์คาร์ที่เร็วที่สุดในโลกขึ้นมาด้วยมือล้วนๆ แต่เขาจะผลิต Regera คันใหม่ ราคา 2 ล้านเหรียญ ได้ทันความต้องการหรือไม่ และวงการอุตสาหกรรมรถยนต์โลกจะก้าวทันผลงานวิศวกรรมแห่งอนาคตของเขาหรือเปล่า?

เรื่อง: GUY MARTIN เรียบเรียง: ปาริชาติ ชื่นชม หากจะว่าไปตามกฎธรรมชาติของธุรกิจแล้ว Koenigsegg บริษัทผลิตรถยนต์ซูเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดนคงไม่มีโอกาสได้ถือกำเนิดหรือมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกว่าพวกเขาจะผลิตรถยนต์ขึ้นมาสักคัน ก็ต้องรอกันเป็นปีๆ ในปีนี้ Koenigsegg เปิดตัว Regera ไฮบริด 1,500 แรงม้า ราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านเหรียญ หรือต่ำกว่านั้นเล็กน้อยหากจำหน่ายนอกสหรัฐฯ นับเป็นรถแข่งแบบที่ไม่ค่อยคุ้นมือและสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยต่อให้เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ผลิตรถแข่งระดับคว้าแชมป์และสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์เป็นธุรกิจหลักมานับร้อยปีอย่าง Ferrari ก็ตาม ทั้งบริษัท Koenigsegg และ Christian von Koenigsegg ผู้ก่อตั้งบริษัททรงเสน่ห์วัย 43 ปีไม่มีอะไรอย่างนั้นเลยสักนิด อันดับแรกเลยคือ Koenigseggs ไม่แข่งรถ และรถยนต์ของบริษัทก็ผลิตขึ้นมาสำหรับเศรษฐีเพียงไม่กี่คนที่กระหายความเร้าใจบนท้องถนนเท่านั้น นอกจากนี้ ที่ตั้งของ Koenigsegg ยังเคยใช้เป็นโรงเก็บเครื่องบินในฐานทัพอากาศเก่าเพื่อใช้จอดเครื่องบินของกองทัพอากาศสวีเดน โอบล้อมด้วยหมู่บ้านชาวประมงทางตะวันตกของ Angelholm ซึ่งไม่ใช่ถิ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตรถยนต์เลย ประการสุดท้ายคือ การผลิตของราคาแพงมากๆ ขึ้นมาสักชิ้นด้วยมือล้วนๆ ต้องมีความบ้าเป็นพื้นฐาน ตลอดระยะเวลา 22ปี บริษัทแห่งนี้ผลิตรถยนต์ออกมาไม่ถึง135 คัน บางรุ่นมีการผลิตออกมาเพียง 20 คันเท่านั้น Koenigsegg จะสร้างเบาะนั่งขึ้นด้วยมือ หล่อท่อไอเสีย สร้างเครื่องยนต์ขึ้นเอง จากนั้นจะประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดเข้ากับโครงที่แน่นและเตี้ยอันเป็นที่รู้จักกันดี โดยมีเพียง Mats Pettersson ชายขี้บ่นแต่น่ารักผู้หลงรักความสมบูรณ์แบบเป็นผู้ประกอบเครื่องยนต์ขึ้นมา สถานการณ์ของ Pettersson ดูเหมือนจะกำลังดีวันดีคืนนับตั้งแต่ Regera เปิดตัวในงานแสดงรถยนต์ที่ Geneva เมื่อปี 2015 ก็มีคำสั่งซื้อเข้ามาประมาณ 40 คัน ขณะเดียวกัน Koenigsegg กำลังพยายามผลิตรถยนต์ให้ได้เต็มขีดจำกัดที่ 80 คัน Pettersson เพิ่งจะได้ผู้ช่วยเข้ามา 1 คนเท่านั้นจริงๆ ในปีที่แล้ว บริษัทมีพนักงานประมาณ 65 คน และล่าสุดว่าจ้างพนักงานใหม่เข้ามาเพิ่มอีกราว 35 คน  “ผมเคยเรียนวิศกรรมมาก่อนไหมนะหรือ” Christian von Koenigsegg ถามขึ้นระหว่างที่เขาร่ายยาวจุดอ่อนของตัวเองอย่างสบายใจ “ไม่เลย ผมเคยมีประสบการณ์ด้านการผลิตมาก่อนหรือเปล่า ก็ไม่อีกนั่นแหละ ผมสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ไม่จำกัดหรือโรงงานที่จะสามารถผลิตตามรูปแบบของผมได้ไหม ก็ไม่อีกเช่นกัน ผมมีเพียงเพื่อนคนหนึ่งที่มีโรงรถและหลงใหลในรถยนต์ พูดง่ายๆ เลยคือ ผมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องผลิตรถยนต์ที่ดีที่สุดขึ้นมาด้วยมือล้วนๆ” แม้ว่าบริษัทจะสามารถผลิตรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วได้สูงถึง 270 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่ในช่วงปีแรกๆ นั้นนับว่าซบเซาและลำบากมาก ในปี 1994 von Koenigsegg ต้องควักกระเป๋าตัวเอง 200,000 เหรียญเป็นทุนเริ่มต้น ปีต่อมา คุณพ่อของเขาซึ่งเป็นผู้บริหารด้านการเทคโนโลยีเครื่องทำความร้อนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมให้เขายืมอีก 300,000 เหรียญ “ตอนนั้นพ่อผมยังไม่รู้หรอกครับว่า อีก 2-3 ปีต่อมาจะต้องนำเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุน ซึ่งก็เท่ากับประมาณ 2 ล้านเหรียญ” von Koenigsegg กล่าว “ไม่แปลกหรอกที่แม่ผมจะสติแตกไปเลย” ต่อมาในปี 1999 หลังจากที่ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีและโทรคมนาคมยุคแรกของสวีเดนเริ่มโกยเงินกันเป็นว่าเล่น von Koenigsegg ก็สามารถรวบรวมนักลงทุนได้ 20 คนมาร่วมลงทุนเพิ่มอีก 2 ล้านเหรียญ นอกจากนี้เขายังแบ่งหุ้นของบริษัทให้กับบริษัทซัพพลายเออร์บางรายด้วย และในที่สุดเขาก็สามารถผลิตรถยนต์ Koenigsegg คันแรกออกมาได้สำเร็จ คือ CC8S ซึ่งเปิดตัวออกมาในปี 2003 (นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Koenigsegg มีการลงทุนระยะยาวอีกหลายครั้ง รวมเป็นเงินประมาณ 25 ล้านเหรียญ) เมื่อมีดีกรีความสำเร็จจากการผลิตรถซูเปอร์คาร์แล้วในปี 2009 von Koenigsegg ก็สามารถรวมกลุ่มนายทุนเพื่อที่จะซื้อ Saab ค่ายรถยนต์ของสวีเดนมาจาก General Motors อย่างไรก็ตาม ขณะที่การเจรจาเข้าสู่ชั่วโมงที่ 11 สัญญามูลค่าราว 1,500 ล้านเหรียญมีอันต้องล่มไป เนื่องจากรัฐบาลสวีเดนไม่ยอมอนุมัติสินเชื่อ 600 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ ทำให้ Koenigsegg ต้องถอนตัว ตลอดระยะเวลานับจากนั้นมา von Koenigsegg กับทีมงานได้พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ ออกมามากมายจนเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิดในอุตสาหกรรม เช่น Regera มีระบบส่งกำลังที่ทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องมีกระปุกเกียร์ ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ von Koenigsegg กำลังพัฒนาทีเด็ดตัวใหม่นั่นคือ เครื่องยนต์ที่ไม่ต้องมีเพลาลูกเบี้ยว (camshaft) Koenigsegg จดทะเบียนสิทธิบัตรให้กับเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาประมาณ 30 รายการ อีกทั้งยังรอเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตรถยนต์ในหลายประเทศทั่วโลก Koenigsegg รายงานรายได้ประจำปี 2015 อยู่ที่ 17 ล้านเหรียญ และคาดว่าปีนี้จะทำได้ 25 ล้านเหรียญ เมื่อถามถึงกำไรเฉลี่ยต่อคัน von Koenigsegg ถึงกับงงไปครู่หนึ่ง “เราไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องนั้นกันหรอกครับ เรามีไอเดียแต่ในภาพรวมว่าจะผลิตอะไร ค่าใช้จ่ายในการผลิตรถยนต์แต่ละคันแตกต่างกันมาก ทำให้ไม่สามารถใช้ผลกำไรเฉลี่ยเป็นแนวทางในการประเมินผลได้” อย่างไรก็ดี von Koenigsegg สามารถนำกำไรไปซื้อหุ้นกลับมาจากนักลงทุนได้ บริษัทโฮลดิ้งของเขาเป็นเจ้าของหุ้นแบรนด์รถยนต์ชื่อตัวเองแห่งนี้กว่า 80% เมื่อก้าวเท้าออกจากโรงเก็บรถยนต์แห่งนี้ได้ ก็แปลว่าคุณเพิ่งจะได้ทำความรู้จักกับระบบปฏิบัติการอันพิลึกพิลั่นของ Koenigsegg อย่างน้อยก็ไม่มีหุ่นยนต์ช่วยประกอบรถยนต์ให้เห็นเลยสักตัว ตลาดปลายทางของรถยนต์เจ้านี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า Koenigsegg กระพือความคลั่งไคล้ไปทั่วโลก โดยมีการส่งออกไปญี่ปุ่น 2 คัน ไปมาเลเซียคันหนึ่ง และไปตะวันออกกลางอีก 2 คัน รถของ Koenigseggs มีอุปกรณ์ไอเสียเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด จึงสามารถโลดแล่นตามท้องถนนในสหรัฐมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ตัวอย่างที่มีให้เห็นก็อย่างเช่นเมื่อตอนที่ Floyd Mayweather ซื้อ CCXR Trevita มาจากตลาดรองที่กำลังคึกคักมาในราคา 4.8 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว ในโลกแห่งรถซูเปอร์คาร์ที่ว่าน่าตื่นตาตื่นใจอยู่แล้ว รถยนต์ Koenigseggs ก็ยังสามารถสร้างสีสันได้สุดๆ โดยในรุ่นเก่าๆ หน่อยมีมูลค่ามากกว่ารถยนต์อย่าง Bugatti Veyrons เสียอีก แต่ในเวลานี้ เขากลับไม่มีโอกาสเชยชมรถยนต์ของตัวเอง อันที่จริงแล้ว รถยนต์สุดล้ำเหล่านี้ไม่มีคันไหนที่เขาเป็นเจ้าของเลยแม้แต่คันเดียว เขาชอบผลิตรถยนต์ซูเปอร์คาร์และส่งมันออกไปซิ่งลงถนนมากกว่า เพราะว่าทำได้เพียงทีละคันเท่านั้น
คลิ๊กอ่านบทความทางด้านธุรกิจได้ที่ ได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ AUGUST 2016

TAGGED ON