ต้นไม้ครอบครัว - ความขัดแย้งที่จำเป็นเพื่อกอบกู้บริษัท - Forbes Thailand

ต้นไม้ครอบครัว - ความขัดแย้งที่จำเป็นเพื่อกอบกู้บริษัท

FORBES THAILAND / ADMIN
31 May 2018 | 10:00 AM
READ 8044

Jonathan Saperstein เริ่มความพยายามของเขาเพื่อสร้างความเป็นมืออาชีพและครอบครองอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงต้นไม้ ด้วยการเข้ายึดธุรกิจบริษัทเพาะปลูกต้นไม้อย่างไม่เป็นมิตรจากพ่อของเขาเอง

ในฤดูร้อนปี 2014 Jonathan Saperstein ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บริหารวัย 27 ปี และผู้ถือหุ้นส่วนน้อยใน TreeTown USA บริษัทเพาะปลูกต้นไม้ตกแต่ง รู้สึกกังวลใจ “เราต้องแข่งกับเวลาเพราะเรื่องสถานะทางการเงิน” เขากล่าว David Saperstein ผู้ก่อตั้งบริษัทและพ่อของเขาไม่ได้ลงทุนในบริษัทนี้ซึ่งมีรายได้ราว 30 ล้านเหรียญ แต่เขากลับพยายามเร่งให้มันเติบโตอย่างรวดเร็วแบบประหยัด แล้วออกหุ้นเสนอขายครั้งแรกแทน เมื่อ Jonathan เสนอแผนกลยุทธ์ระยะยาว David ก็เพิกเฉย เมื่อ Jonathan เสนอขอซื้อบริษัท หากพ่อเขาจะไม่บริหารจัดการอย่างเหมาะสม David ตอบด้วยสิ่งที่ Jonathan เรียกว่าเป็น “ตัวเลขสุดโหด” และคำประกาศว่าบริษัทไม่ได้มีไว้ขาย แทนที่จะเดินออกจากบริษัท Jonathan นักธุรกิจรุ่นใหม่จากทำเนียบ 30 Under 30 ของ FORBES ได้กลายเป็นผู้ประกอบการผู้กล้าหาญบ้าบิ่น เฉียบแหลม และมุ่งมั่นอย่างที่พ่อเขาเคยเป็น และเขาตัดสินใจลุกขึ้นต่อสู้กับพ่อ
บรรยากาศภายในฟาร์มเพาะต้นไม้ของ TreeTown (Photo Credit: treetownusa.com)
ในเดือนตุลาคม 2014 Jonathan ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากพี่สาวคือ Stefanie และ Alexis ยื่นเอกสารบีบให้บริษัทเข้าสู่ภาวะล้มละลายอย่างไม่สมัครใจ พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะ Seven S Capital บริษัทแม่ของ TreeTown ที่ควบคุมโดยผู้เป็นพ่อติดหนี้กองทุนทรัสต์ 3 กองในนามของพวกเขารวมทั้งสิ้น 21 ล้านเหรียญ  David ไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ ในเย็นวันที่มีการยื่นเอกสาร เขาเรียก Jonathan มาคุยและหารือเงื่อนไขการยอมจำนน พวกเขาบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว บริษัทโฮลดิ้งของ Jonathan เข้าซื้อสินทรัพย์ของ TreeTown แล้วเขาและพี่สาวก็ขายหุ้นของตัวเองในบริษัท Seven S ให้พ่อ ตั้งแต่นั้น ด้วยการเข้าซื้อกิจการอันชาญฉลาดและการดำเนินงานที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ TreeTown กระโดดข้ามคู่แข่งในอดีตกลายเป็นผู้ผลิตต้นไม้รายใหญ่ที่สุดในประเทศ และหนึ่งในศูนย์เพาะเลี้ยงต้นไม้รายใหญ่ที่สุด  บริษัทมีพนักงานเกือบ 1,600 คน ปลูกต้นไม้ 4 ล้านต้น และไม้พุ่มและไม้ยืนต้น 18 ล้านต้น ที่ฟาร์ม 16 แห่งในรัฐ Texas, Florida และ California ลูกค้าของบริษัทประกอบด้วยบริษัทออกแบบภูมิทัศน์และบริษัทค้าปลีกรายใหญ่อย่าง Home Depot รายได้คาดว่าจะทะลุ 120 ล้านเหรียญในปี 2018 โดยกำไรจากการดำเนินงานสูงกว่าบรรดาคู่แข่งส่วนใหญ่ราว 15%
Home Depot บริษัทค้าปลีกรายใหญ่คือหนึ่งในลูกค้าหลักของ TreeTown (Photo Credit: civileats.com)
Jonathan ผู้สวมกางเกงยีนส์แบบเกษตรกร เสียบโทรศัพท์ไว้ในถุงบนเข็มขัด ชื่นชอบ Texas สถานที่ที่เขาเกิดมากกว่า Los Angeles ที่ที่พ่อแม่เขาสร้างปราสาทสีขาวอลังการสีงาช้างขนาด 12 ห้องนอน ระหว่างเรียนที่ University of Texas ในเมือง Austin เขาใช้เวลาช่วงฤดูร้อนและปิดเทอมทำงานในบริษัท  หลังจบการศึกษาปี 2010 เขาเข้าทำงาน TreeTown เต็มเวลา “ผมชอบใส่รองเท้าบูทอยู่ในฟาร์มและทำงานกับผู้คนมากกว่าอยู่ในออฟฟิศ” เขากล่าว เมื่อความต้องการต้นไม้ลดลงหลังช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 David ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนให้ TreeTown เอง ตอบโต้ด้วยการยอมถอนต้นไม้ออกจากพื้นที่บางเอเคอร์ และเลื่อนการบำรุงรักษาออกไป 
Jonathan Saperstein ผู้ชื่นชอบการทำงานในฟาร์มมากกว่าในออฟฟิศ แม้ว่าเขาจะเป็นลูกคนรวยใน 400 อันดับแรกของสหรัฐอเมริกา
แต่ในฤดูร้อนปี 2014 แม้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยผ่านไปนานแล้ว David ยังคงไม่อยากจ่ายเงินลงทุน และผู้บริหาร TreeTown บางรายรู้สึกกังวลว่าบริษัทถอยกลับไปไกลเกินแล้ว ถ้าไม่เริ่มปลูกต้นไม้ในเร็วๆ นี้ก็จะไม่มีสินค้าจำนวนมากพอในภายหลังเพื่อไล่ตามคู่แข่ง นั่นเป็นช่วงที่ Jonathan เคลื่อนไหวเข้าครอบครองบริษัท หลังจากเข้าควบคุมกิจการ Jonathan ได้เริ่มดำเนินแผนเชิงกลยุทธ์ โดยพัฒนาปรับปรุงบริษัท รื้อระบบค่าตอบแทนพนักงานใหม่ และเริ่มลงทุนฟาร์มต้นไม้ใหม่อีกครั้งที่ Bunnell รัฐ Florida เขายังเริ่มยกระดับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ฟาร์มที่ Texas และ Bunnell ได้รับการปรับให้มีระบบปลูกต้นไม้ลงกระถางแบบอัตโนมัติ ซึ่งใส่ดินและปุ๋ยตามที่ต้นอ่อนแต่ละต้นต้องการอย่างพอเหมาะ ในการประชุมประจำเดือนนั้น Jonathan และทีมงานจะปรับคาดการณ์การผลิตตามข้อมูลความต้องการต้นไม้จากลูกค้า และจำนวนการเติบโตล่าสุดในฟาร์มต้นไม้ปลูกในกระถาง และเมื่อโตขึ้นจะย้ายไปยังกระถางขนาดใหญ่กว่าเพื่อป้องกันรากต้นไม้พันกัน เขายังต้องคำนวณว่าจะจัดการต้นไม้ที่เหลืออย่างไรเพื่อให้สามารถรักษาประสิทธิภาพการดำเนินงานไว้  ขณะนี้ Jonathan กำลังนำเอาอุปกรณ์ขนาดมือถือจำนวนมากไปใช้ที่ฟาร์มทุกแห่งของ TreeTown เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์ต้นทุนค่าแรงและการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกันเขายังคงเดินหน้าซื้อฟาร์มต่อไป ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา หลังเจรจามา 18 เดือน เขาได้เข้าซื้อ Village Nurseries ฟาร์มปลูกต้นไม้ใน California ที่มีพื้นที่เพาะปลูกกว่า 900 เอเคอร์ ข้อตกลงมีมูลค่า 75 ล้านเหรียญ ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายทางธุรกิจให้กับบริษัทเนื่องจาก Village Nurseries มีความเชี่ยวชาญพิเศษทางด้านไม้พุ่ม เช่น อาซาเลีย และฟิโลเดนดรอน ซึ่งเติบโตเร็วกว่าและมีต้นทุนถูกกว่าต้นไม้อื่นๆ
Village Nurseries ฟาร์มต้นไม้ที่ Jonathan เข้าซื้อกิจการ ความเชี่ยวชาญไม้พุ่มซึ่งแตกต่างจาก TreeTown จะทำให้สินค้าหลากหลายมากขึ้นและลดความเสี่ยงให้บริษัท (Photo Credit: villagenurserieslc.com)
นอกจากนี้ TreeTown ยังได้ฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นบริษัทออกแบบภูมิทัศน์และบริษัทค้าปลีกในแถบ West Coast ซึ่งเป็นที่ตั้งฟาร์มของ Village Nurseries ตลาดเพาะต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ Jonathan แตกต่างจากพ่อ ผู้หวังออกไอพีโออย่างรวดเร็วและออกจากธุรกิจ เขาวางแผนอยู่ในธุรกิจต้นไม้ระยะยาว “เราไม่มีหุ้นส่วน ดังนั้นจึงไม่มีใครกำลังบอกเราให้เติบโตในอัตราเท่านี้เท่านั้นต่อปี” เขากล่าว แม้ว่าราคาจะลดลงไป 1 ใน 3 แต่TreeTown จะยังคงมีกระแสเงินสดเป็นบวก ซึ่งทำให้เขาซื้อฟาร์มได้มากขึ้น แล้วอะไรคือความวิตกของเขา “ความกลัวอันยิ่งใหญ่ที่สุดของผมคือ เรากำลังจะชะล่าใจไป” เขากล่าว“และนั่นคือสิ่งที่เราจะไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น”   เรื่อง: Amy Feldman เรียบเรียง: ชูแอตต์