Balsam Brands ผิดแผกไปจากบริษัทย่าน Silicon Valley ทั่วไป เพราะไม่ได้มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี แต่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการผลิตและจำหน่ายต้นคริสต์มาสเทียม
เนื่องจาก Balsam Brands บริษัทแม่ของ Balsam Hill ตั้งอยู่ที่ Redwood City รัฐ California ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี Balsam จึงดูแตกต่างและโดดเด่นเหมือน Rudolf เจ้ากวางเรนเดียร์จมูกแดง บริษัทที่ก่อตั้งมานาน 11 ปีแห่งนี้ไม่เคยระดมทุนจากนักลงทุน ลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำมีเพียงส่วนน้อยและจำหน่ายสินค้าประเภทที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลมากที่สุด
ข้อมูลการสำรวจของ Nielsen ระบุว่ามีผู้ติดตั้งต้นคริสต์มาสในช่วงเทศกาลราว 100 ล้านครัวเรือนในสหรัฐฯ โดย 81% ของจำนวนดังกล่าวจะใช้ต้นคริสต์มาสเทียม ทั้งนี้ 90% ของตลาดต้นคริสต์มาสเทียมที่มีมูลค่า 1.2 พันล้านเหรียญถูกครองโดยเครือข่ายค้าปลีกยักษ์ใหญ่ (เช่น Wal-Mart และ Home Depot) ซึ่งจัดจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิตหลายรายในราคาต่ำกว่า Balsam ประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วน Balsam มุ่งเป้าไปยังกลุ่มลูกค้าที่พร้อมควักกระเป๋าจ่ายเพื่อสินค้าคุณภาพสูงกว่า

แรงบันดาลใจจากสิ่งที่ "ไม่สวยงาม"
ตอนนั้นเขาอายุ 23 ปีและทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาของบริษัท McKinsey หลังจากนั้น 2 ปีพ่อของเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอดในวัย 59 ปี เนื่องจากเป็นลูกคนเดียว Harman จึงรับหน้าที่ดูแลโรงงานผลิตสินค้าเกี่ยวกับลวดเหล็กที่กำลังประสบปัญหา หลังจากพยายามอยู่ 7 ปี ในที่สุดเขาตัดสินใจขายบริษัทเมื่อปี 2007
เงินที่ได้จากการขายบริษัทตกอยู่ที่แม่ของเขาแต่ Harman กล่าวว่าประสบการณ์เรียนรู้การดูแลบริหารโรงงานแห่งนี้และใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อหาลูกค้ารายใหม่ Harman เชื่อมั่นว่าเขาสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจผลิตและจำหน่ายต้นคริสต์มาสได้

ด้วยเงินทุน 120,000 เหรียญที่ Harman ระดมจากเพื่อนฝูงและญาติบวกกับเงินเก็บจากการทำงานที่ McKinsey เขาตัดสินใจสั่งซื้อต้นไม้เทียม 15,800 ต้นโดยให้ทยอยส่งจากโรงงานในจีนเพื่อจะได้จ่ายเงินทีละงวด เขาจำหน่ายต้นคริสต์มาสเทียมผ่านเว็บไซต์โดยเขียนคำอธิบายสินค้าด้วยตัวเองพร้อมเปิดร้านแบบ pop-up ขึ้นที่ Stanford Mall
บริหารทีมงานรับเทศกาลคริสต์มาส
ในช่วงแรกการหาพนักงานมาร่วมทีมเป็นเรื่องยากเนื่องจากเหล่าบริษัทเทคโนโลยีในละแวกใกล้เคียงยื่นข้อเสนอจ่ายเงินเดือนอัตราสูง ดังนั้นจุดขายของ Harman คือเขาสนับสนุนให้พนักงานที่ควบตำแหน่งพ่อแม่เลิกงานเร็วเพื่อไปรับลูกๆ และทำงานที่บ้านได้เมื่อต้องการ

เมื่อยอดขายเติบโตขึ้น Harman และทีมงานแทบไม่สามารถรับมือกับปริมาณงานที่อัดแน่นในช่วง 6 สัปดาห์ก่อนเทศกาลคริสต์มาสซึ่งรายได้ราว 2 ใน 3 ของ Balsam เกิดขึ้นในช่วงนี้ บริษัทต้องจ้างทีมพนักงานชั่วคราวประมาณ 600 คน เพื่อดูแลลูกค้าโดยเพิ่มขึ้นจากช่วงปกติที่มีอยู่ราว 20 คน
การตลาดดิจิทัลไม่ได้หอมหวานเสมอไป
เขาพยายามหาทางเพิ่มยอดขายนอกช่วงเทศกาลให้มีกระแสรายได้ต่อเนื่องตลอดปีแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ รวมถึงการผลิตสินค้าอื่นๆ เช่น ที่นอนสัตว์เลี้ยง โคมไฟ ของที่ใช้ในพิธีกรรมศาสนาคริสต์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

แต่ Harman ได้เรียนรู้ว่า Balsam จำเป็นต้องพึ่ง Amazon เนื่องจากข้อมูลการศึกษาในปี 2016 ของ BloomReach บริษัทด้านการตลาดบนอินเทอร์เน็ตชี้ว่า ลูกค้ามากกว่าครึ่งเริ่มต้นค้นหาสินค้าที่ต้องการผ่าน Amazon เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงใช้กลยุทธ์เสนอขายสินค้าบางประเภทบน Amazon แต่มุ่งเน้นไปที่เว็บไซต์หลักของบริษัทซึ่งเป็นช่องทางการขายที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทมากกว่า 95%
เมื่อปีที่ผ่านมา ในวันจันทร์ก่อนถึงวันขอบคุณพระเจ้า Amazon หยุดการขายสินค้าของ Balsam ชั่วคราวหลังจากยอดสั่งซื้อที่พุ่งกระฉูดกระตุ้นให้โปรแกรมตรวจจับการโกงทำงาน Harman เล่าว่า Amazon ไม่ดำเนินการโต้ตอบใดๆ จนกระทั่งเขายกหูโทรศัพท์หาเพื่อนที่มีตำแหน่งสูงของ Amazon เพื่อให้ช่วยเดินเรื่อง เพียงไม่นานสินค้าของ Balsam ก็ปรากฏบนเว็บให้ซื้อขายได้อีกครั้ง
สำนักงานใหญ่ของ Balsam ตั้งอยู่ที่ชั้นบนของอาคาร 2 ชั้นที่สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 ส่วนชั้นล่างเป็นที่ทำการของธนาคาร ภายในสำนักงานประดับประดาด้วยไฟระยิบระยับและต้นคริสต์มาสเทียม Harman กล่าวว่าเพื่อนฝูงใน Silicon Valley พากันหัวเราะที่เขาพยายามเจรจาเช่าตึกให้ได้ยาวถึง 14 ปี(แต่สุดท้ายสรุปที่ 9 ปี) “เพื่อนๆ ผมเปลี่ยนงานไปแล้ว 4 รอบในช่วง 20 ปี แต่ผมยังยืนหยัดมุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจนี้” เขากล่าว “และนี่ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดใน Silicon Valley”
เรื่อง: SUSAN ADAMS
เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา