อรฤดี ณ ระนอง นัดพบ Forbes Thailand ที่โปโลคลับ เธอเลือกที่นี่เพราะอยู่ใกล้ออฟฟิศ ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ใช้ออกกำลังกายหลังเลิกงาน สตรีวัย 55 ปีพบกับพวกเราในยามบ่ายวันหนึ่ง ด้วยอิริยาบถสบายๆ ใบหน้าที่ไร้การเติมแต่งใดๆ หรือแม้แต่ทรงผมของเธอ ก็ยังปล่อยสยายเป็นไปอย่างธรรมชาติ บ่งบอกถึงของความไม่ยึดติดกับสิ่งใด ตามแนวทางของศาสนาพุทธ ที่เธอยึดมั่น แม้ว่าชีวิตจริงจะต้องอยู่ในโลกเงินตราของธุรกิจก็ตามที
ปัจจุบัน อรฤดี นั่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์น้องใหม่ ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี 2557 เธอถูกชักชวนจากพัชรา นิธิวาสิน บอสใหญ่ของบริษัท นารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ให้เข้ามาดูแล “ตัดสินใจเข้ามาทำ เหตุผลแรกคือ ใครเป็นคนชวน นิสัยโอเคไหม ไปด้วยกันไหม ทัศนคติและปรัชญาเหมือนกันใหม่ เมื่อได้พบคุณพัชราระหว่างเรียนวตอ.รุ่นที่ 9 ได้ชวน ก็ผ่านตรงนี้...เริ่มต้นตรงนี้ ทำให้โตได้อีกครั้ง เป็นอะไรที่เป็นความฝันของคุณพัชรา แต่ตอนนี้ร่างกายไม่ไหว อายุ 70 ปี เรามาช่วยสานฝัน เป็นอะไรที่อยากทำด้วย” อรฤดี เริ่มเกริ่น อรฤดี จบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทการบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยรัฐซานดิเอโก ประเทศสหรัฐฯ เธอทำงานบริษัทน้ำมันอยู่ 8 ปี และเป็นผู้บริหารกองทุนอีก 10 ปี ก่อนที่จะเข้าร่วมงานกับ บมจ.ยูนิเวนเจอร์ ที่จะขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่นี่เอง เธอได้เรียนรู้กับโลกใหม่ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และได้เข้าคุมโครงการปาร์ค เวนเจอร์ อีโคเพลกซ์ ตั้งอยู่หัวมุมถนนวิทยุ เป็นอาคาร mixed-use ที่มีจุดเด่นเรื่องของการประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม และเป็นงานสุดท้าย ก่อนที่จะลาจากตำแหน่งประธานอำนวยการของบริษัท มากุมบังเหียนที่บริษัทนายณ์ฯ ช่วงเริ่มต้น บริษัทนายณ์ฯ มีคนทำงานอยู่ 4 คน ทรัพยากรบางอย่างใช้ร่วมกับบริษัทนารายณ์ฯ โดยจ่ายค่าบริการเป็นงานๆไป แม้คนน้อย แต่เธอก็สู้ไม่ถอย การเป็นบริษัทเล็กและไม่เป็นบริษัทมหาชนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เธอมองว่า เป็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ทำงานตามความตั้งใจของตัวเองมากขึ้น “จุดเด่นของเราคือ เล็ก คล่องตัว คิดอะไรที่แตกต่างและกล้าทำ เพราะความที่เล็ก ทำให้เคลื่อนย้ายและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย” เธอกล่าว ในที่สุดวันหนึ่งโอกาสก็มาถึงเมื่อ บริษัทนารายณ์ฯ มีแผนจะพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์แถวเทียมร่วมมิตรบนเนื้อที่ 16-17 ไร่ เมื่อเธอรู้ จึงเข้าพูดคุยกับพัชรา และถามว่า ทำไมไม่ทำโครงการสนุกๆ เน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนรวย ที่ต้องการมีบ้านอยู่ในเมือง พัชราเห็นดีด้วยกับความคิดเธอ จึงยกที่ดินให้ บริษัทนายณ์ฯ พัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยว โดย บริษัทนายณ์ฯ ลงแรงเรื่องพัฒนาสินค้าและการขาย ขณะที่บริษัทนารายณ์ฯ ดำเนินการก่อสร้าง เป็นการทำงานแบบ co-brand โครงการมีชื่อว่า Parc Priva มีบ้านทั้งหมด 59 หลัง ราคาหลังละ 30-40 ล้านบาท ผลลัพธ์คือ ได้รับการตอบรับจากตลาดดีมาก มีเศรษฐีจากตะวันออกกลางกวาดซื้อไป 6 หลัง “เครียดเหมือนกัน เป็นโปรเจกต์แรก ไม่อยากให้คุณพัชราผิดหวัง ตอนแรกทำก็กลัวว่าจะขายไม่ได้ กลัวเจ๊ง เขาจะทำทาวน์เฮ้าส์ขายหลังละ 15 ล้านบาท ซึ่งขายได้อยู่แล้ว แต่มาขายหลังละ 30-40 ล้านบาท งบพุ่งไป 2,500 ล้านบาท” อรฤดีกล่าวและยิ้ม ก่อนจะบอกว่ารู้สึก “โล่งใจ” หลังขายได้ ความสำเร็จที่เกิดขึ้น เธอมองว่าเป็นเพราะ “ความเชื่อ” ของเธอว่า บ้านราคาสูงยังมีตลาดอยู่ สามารถขายได้ ดังนั้น เธอจึงทำการบ้านและทำวิจัยอย่างหนัก พูดคุยกับผู้รู้จากโบรกเกอร์ พร้อมตีโจทย์การสร้างให้แตกในเวลาเดียวกัน ประกอบกับ เข้ามาในจังหวะที่ดี โดยในช่วงนั้นไม่มีผู้ประกอบการรายใดสร้างบ้านกลางเมืองเพื่อขาย จากนั้นมา บริษัทเล็กๆ ของเธอก็ได้แสดงผลงานมากขึ้น ปัจจุบันเปิดตัวไปแล้ว 4 โครงการ ภายใต้ “ควอเตอร์ คอลเล็คชั่น” 3 โครงการ ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทเธอก็ได้รับโอกาสอีกครั้งในการเข้าพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานและร้านค้าเชิงพาณิชย์ ระดับพรีเมียม ตั้งอยู่ใจกลางสีลม บริเวณตึกสีบุญเรือง มีสัญญาเช่าที่ดินเป็นเวลา 50 ปี มูลค่าราว 1.6 หมื่นล้านบาท โดยเข้าร่วมทุนกับ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เขาถือหุ้น 40% คาดว่า อีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวด้านก่อสร้าง เพราะขณะนี้ต้องรอเวลาให้ตึกนั้นหมดสัญญาเช่าจากรายปัจจุบันก่อน อรฤดี พยายามให้สร้างบริษัทค่อยๆเติบโต แม้ว่าเศรษฐกิจเมืองไทยและโลกมีแนวโน้มไม่ดี แต่เชื่อว่า ในระยะยาวแล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในบ้านเรายังมีแนวโน้มสดใส เนื่องจาก ราคาที่ดินยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงความพร้อมในหลายๆด้าน ที่สำคัญที่สุดคือ ยุทธศาสตร์ที่ตั้งของประเทศ ยังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาที่นี่ โดยเฉพาะบ้านกลางกรุงยังมีความต้องการอยู่เสมอ อรฤดี บอกว่า ทุกวันนี้ เธอมีความสุขกับงานและชีวิต ในอนาคตไม่ได้คาดหวังอะไร ดังนั้น จึงพยายามถ่ายทอดความรู้ให้กับพนักงานของบริษัท ซึ่งปัจจุบันเพิ่มเป็น 26 คน เธอย้ำกับน้องๆให้ทำงานมี inspiration เพราะการมีทำงานสิ่งเดียวกัน หากไม่มี inspiration ผลงานที่ออกมาจะต่างกัน ชีวิตอีกด้าน เธอหาความสุขกับการปฏิบัติธรรม อีกทั้ง ยังทานอาหารมังสวิรัติอาทิตย์ละ 2 วัน หรือแต่ละปี ปิดโทรศัพท์มือถือ 3 วัน เพื่อตัดจากโลกภายนอกและหาความสงบกับการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง “ชีวิตไม่วางอะไรไว้เลย มาถึงตรงนี้ก็ happy สิ่งที่อยากทำ ก็ทำมาหมดแล้ว แต่อยากทำนายณ์ เอสเตท เป็นที่สุดท้าย ให้องค์กรเป็นความมั่นคง” เธอกล่าวทิ้งท้าย เรื่อง: บำรุง อำนาจเจริญฤทธิ์ ภาพประกอบ: สมเกียรติ ศิริวงศ์ศิลป์คลิ๊กอ่าน "อรฤดี ณ ระนอง ภารกิจปั้น นายณ์ เอสเตท แม้ “จิ๋ว” แต่ “แจ๋ว” ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ APRIL 2016 ในรูปแบบ E-Magazine