อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ มุ่งปั้น KKP สู่แบงก์ผลกำไรเลิศ - Forbes Thailand

อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ มุ่งปั้น KKP สู่แบงก์ผลกำไรเลิศ

ภายหลังที่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KKP) เข้าซื้อบริษัท ทุนภัทร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร ราวปี 2556 ทำให้กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรผงาดขึ้นมาเป็นกลุ่มที่ครบเครื่องในเรื่องการให้บริการสินค้าทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน ตั้งแต่เปิดบัญชีเงินฝากปล่อยเงินกู้ ส่งต่อความมั่งคั่ง การลงทุนที่ปรึกษาทางการเงิน จนถึงทำดีลควบรวมกิจการใหญ่ๆ ปัจจุบันกลายเป็นอีกหนึ่งกลุ่มบริษัทที่แข็งแกร่งและมีบทบาทน่าจับตา

เบื้องหลังความสำเร็จ คงต้องยกเครดิตให้กับนายใหญ่ของกลุ่มนาม อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนาคารเกียรตินาคิน ที่กำลังมุ่งมั่นผลักดันบริษัทไปข้างหน้า พวกเรา Forbes Thailand ไม่รีรอที่จะนัดพบเพื่อพูดคุย โดยอภินันท์เลือกร้านอาหารอิตาเลียนย่านอโศก แม้ว่าเมนูสปาเก็ตตี้ของที่นี่จะเลื่องชื่อด้านรสชาติ แต่กลับเทียบไม่ได้กับสีสันและรสชาติแห่งชีวิตของอภินันท์ที่เล่าสู่ทีมงาน ตั้งแต่ชีวิตวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยความสนุก จนกลายเป็นนักดื่มตัวยงและช่วงที่ไร้แผนการชีวิต จนเริ่มเข้าสู่วงการการเงินและเติบโตเป็นผู้บริหารหนุ่มอินดี้ ผู้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในวัย 47 ปี “การเงินเป็นเรื่องสนุกและท้าทายอยู่แล้ว” เขาเกริ่นกับพวกเรา  

ย่างก้าวสู่โลกแห่งการเงิน

ในอดีต อภินันท์มักไม่ค่อยวางแผนชีวิตตนเองเท่าใดนัก ในช่วงวัยเด็กนั้น เขารักสนุกและมีเพื่อนฝูงมากมาย จนทำให้เขาไม่สนใจชีวิตในอนาคต หลังจบมัธยมศึกษาตอนปลาย เขาสอบเข้าเรียนต่อคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะแรงกดดันจากครอบครัวทำให้เขาต้องการพิสูจน์ตนเองว่าเขาทำได้ ขณะเป็นนิสิตจุฬาฯ เขายังไม่ทิ้งชีวิตสรวลเสเฮฮา ถึงกระนั้นก็ตาม ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับดีด้วยเกรดเฉลี่ย 3 กว่า เมื่อจบการศึกษาเขาได้เข้าทำงานในบริษัทน้ำมันต่างชาติระยะหนึ่ง ก่อนบินไปศึกษาต่อปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจสาขาการเงินที่ University of Maryland at College Park ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจบการศึกษา เขาเข้าทำงานกับบล.ทิสโก้ ตามคำแนะนำของญาติ ซึ่งเขามองว่าเป็นโชคดีที่ได้เริ่มงานที่นี่ เพราะขณะนั้นทิสโก้ยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก ทำให้เขาได้เรียนรู้งานเกือบทุกอย่างโดยไม่แบ่งอุตสาหกรรม ต่อมาอภินันท์ได้ร่วมงานกับบล.ก.ทุนภัทร ซึ่งเขาได้เรียนรู้งานอย่างเป็นระบบและลึกมากขึ้น วันเวลาผ่านไป อภินันท์เติบโตขึ้นตามลำดับ และเมื่อ 1 มกราคม 2559 ปีที่ผ่านมา เขาได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ธนาคารเกียรตินาคิน พร้อมๆ กับการเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ควบคู่กันไปอีกด้วย อภินันท์เข้าใจดีว่าธุรกิจของบริษัท ทั้งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ภายใต้ชื่อธนาคารเกียรตินาคิน และธุรกิจตลาดทุนภายใต้ภัทรนั้นไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ทั้งคู่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน โดยเขาแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1. ธุรกิจเครดิตให้สินเชื่อต่างๆ 2. ให้คำปรึกษาทางการเงินและบริหารความมั่งคั่งให้ลูกค้า (private banking) โดยเน้นลูกค้ารายใหญ่ และ 3. วาณิชธนกิจ (investment banking) เป็นการลงทุนให้ลูกค้าและเพื่อบริษัท การรวมธุรกิจภายใต้ชายคาเดียวกันนับเป็นการสร้างจุดแข็งให้กับกลุ่ม อภินันท์กล่าวว่า กลุ่มจะสามารถให้บริการลูกค้าได้หลากหลายจากเดิมที่ค่อนข้างจำกัด ผลงานที่เห็นชัดมาจากกลุ่ม private banking ช่วงที่ผ่านมา วงเงินสินทรัพย์ของลูกค้าภายใต้การรวมกิจการเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 แสนล้านบาทในปี 2559 จากเดิมที่ 1.8 แสนล้านบาทในช่วงก่อนหน้า  
(ขอบคุณภาพจาก ธนาคารเกียรตินาคิน)
ธนาคารเกียรตินาคินเป็นธนาคารขนาดเล็ก เน้นลูกค้าขนาดกลางและใหญ่ มีสาขาอยู่ราว 65-67 สาขาทั่วประเทศ อภินันท์ไม่มีนโยบายขยายเพิ่มไปมากกว่านี้ เพราะมองว่า การมีสาขามากไม่ได้บ่งบอกถึงความสำเร็จ ในทางตรงกันข้าม มีแต่ค่าใช้จ่ายและต้นทุนการทำธุรกิจที่สูงตามมา ดังนั้น เขาจึงมองหาทางเลือกใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและโลกออนไลน์ หรือสร้างทีมขาย เช่น ทีมขายเพื่อปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ แทนที่จะสร้างสาขาธนาคารเพิ่ม แต่หากมีการเปิดสาขาใหม่ คอนเซ็ปท์จะเป็นสาขาเพื่อใช้พบปะกับลูกค้ารายใหญ่ เพื่อประชุม สัมมนา ให้คำปรึกษาเป็นหลัก “เราไม่ต้องการขนาดสินเชื่อ แต่เราต้องการ diversification เราต้องการเป็น “performance bank” โดยมีกำไรเป็นสำคัญ” เขาย้ำ  

มุ่งสร้างกำไร

“performance bank” ที่อภินันท์เอ่ยถึงนั้น คือธนาคารที่มีผลกำไรสุทธิยอดเยี่ยม และเขาก็ทำได้จริงอย่างที่หวัง เห็นได้จากตัวเลขทางการเงินในไตรมาส 3 ของปี 2559 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 1.7 พันล้านบาท ถือเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 7 ไตรมาสติดต่อกัน และเป็นธนาคารที่รั้งอันดับ 6 ที่ทำกำไรสูงสุดในอุตสาหกรรม จากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป คาดการณ์ว่าในปี 2560 นี้ กำไรของธนาคารเกียรตินาคินน่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 5.83 พันล้านบาท หรือโตขึ้นราว 12.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ ซึ่งผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการเติบโตของสินเชื่อต่างๆ และรายได้จากธุรกิจตลาดทุน โดยเฉพาะงานวาณิชธนกิจซึ่งมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา “เราอยากเป็น performance bank และถึงแม้เรามีข้อจำกัด แต่สิ่งที่จะมาชดเชยคือ “คน” คือ คนต้องมีความสามารถ เราต้องหาคนเก่ง ที่รู้ลึกและรู้จริง คนที่ตัวเล็กกว่าจะต้องเก่งกว่า เร็วกว่า และทำงานหนักกว่า อีกทั้งต้อง improvise ในสถานการณ์ต่างๆ ได้ และเห็นโอกาสเหมือนฉลาม” ดังนั้น อภินันท์จึงเพียรมุ่งสร้างบุคลากรให้มีศักยภาพมากที่สุด วิธีการของเขาคือ การรับประทานอาหารร่วมกับผู้บริหารทั้งฝั่งธนาคารและฝั่งตลาดทุนของภัทร เพื่อเปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นรู้จักกันและร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยมีเขาเป็นผู้ชี้แนะและพร้อมยื่นมือเข้าช่วย จุดประสงค์คือ ให้ทุกคนร่วมเดินทางไปในจุดหมายเดียวกัน ปัจจุบันทั้งกลุ่มมีพนักงานทั้งสิ้นกว่า 4,000 คน “ผมพยายามสร้างคนให้เหมาะกับสายธุรกิจ อยากให้องค์กรมี performance ที่ดี มีคนเก่งดูแล แล้วทำงานให้เก่งยิ่งๆ ขึ้นและกระหายชัยชนะ!” ถึงแม้จะมีหน้าที่การงานโดดเด่นในฐานะเบอร์หนึ่งของบริษัท อภินันท์กลับไม่เคยคิดว่าเป็นจุดสูงสุดของชีวิต เพราะไม่เคยวางแผนชีวิตว่าจะต้องมาถึงจุดนี้ “ทั้งหมดที่ทำ ก็อยากเห็นกลุ่มเกียรตินาคินภัทร เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีกำไรสูงอย่างต่อเนื่องเหมือนที่ตั้งใจไว้”   ภาพประกอบ: สมเกียรติ ศิริวงศ์ศิลป์
คลิกอ่านฉบับเต็ม "อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ มุ่งปั้น KKP สู่แบงก์ผลกำไรเลิศ" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กุมภาพันธ์ 2560