ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ปั้น Ascend Group รุกตลาดดิจิทัลอาเซียน

ณ สำนักงานใหญ่ Ascend Group บนชั้น 18-19 อาคาร AIA Center ย่านรัชดาภิเษก ทีมงาน Forbes Thailand พบ ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา วัย 43 ปี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ในสถานที่ทำงานอันทันสมัย ปุณณมาศทักทายเราด้วยบุคลิกกระฉับกระเฉง พร้อมสนทนาถึงการตั้งเป้าให้รายได้ของบริษัทเดินไปสู่ 6.9 พันล้านบาทในปีนี้ และการให้ Ascend Money เป็นธุรกิจแฟล็กชิพ มีแรงหนุนจากการจับมือกับ Ant Financial Services บริษัทในเครือ Alibaba Group เพื่อให้บริการครอบคลุม 100 ล้านคนให้ได้ภายในปี 2563

 

ท้าทายไม่สิ้นสุด

ปุณณมาศเคยทำงานในบริษัทเทคโนโลยีและโทรคมนาคมหลายแห่ง เช่น บริษัท ทีเอ ออเร้นจ์ จำกัด (ต่อมาคือบริษัท ทรู มูฟ จำกัด) AT&T Wireless, Ericsson International และ Singtel Group “ตั้งแต่ผมเลือกทำงานในสายงานนี้ก็รู้ว่า วันหนึ่งเทคโนโลยีจะไปถึงจุดที่เราไม่ได้สื่อสารด้วยเสียงเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องของข้อมูลมากมายที่ไหลเวียนเต็มไปหมด ฉะนั้นบทบาทของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือก็ต้องเปลี่ยนไป” เขาเริ่มต้นบทสนทนา

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคการเงินดิจิทัล กลุ่มทรู หนึ่งในผู้ให้บริการโทรคมนาคมของไทยก็จำเป็นต้องปรับตัว โดยเริ่มให้บริการทางการเงินในชื่อแบรนด์ TrueMoney เมื่อธุรกิจแข่งขันสูงขึ้น Ascend Group จึงถือกำเนิดในเดือนมิถุนายน ปี 2558 นำธุรกิจการเงินและการค้าดิจิทัลบางประเภทของกลุ่มทรูมาบริหาร พร้อมมอบหมายให้ปุณณมาศซึ่งเป็นผู้บริหารของ TrueMoney มาก่อนเป็นผู้นำทัพ สามขาหลักขององค์กรคือ Ascend Money ดำเนินธุรกิจฟินเทคใน 6 ประเทศ คือ ไทย เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีแบรนด์ TrueMoney เป็นอี-วอลเล็ท (กระเป๋าเงินออนไลน์) ที่สามารถเติมเงินโทรศัพท์มือถือ จ่ายบิล โอนเงิน และซื้อบัตรเงินสด และมีธุรกิจปล่อยสินเชื่อคือ Ascend Nano ปล่อยกู้ให้ซัพพลายเออร์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) อีกส่วนคือปล่อยกู้ให้ลูกค้ารายบุคคลผ่านอี-วอลเล็ทที่มีอยู่แล้ว ธุรกิจต่อมาคือ อี-คอมเมิร์ซ ซึ่งมีทั้ง B2B ได้แก่ พันธวณิช บริการระบบจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์แก่ภาครัฐและเอกชน และ B2C ได้แก่ Weloveshopping และ Wemall สุดท้ายคือธุรกิจ cloud computing และ data center ในชื่อ True IDC ทั้งยังมี Egg Digital เป็นธุรกิจย่อยที่ให้บริการด้านการตลาดดิจิทัล

คู่แข่งสำคัญของธุรกิจอี-วอลเล็ทคือการตื่นตัวกับอี-มันนี่ของธนาคาร เขาขยายความว่า จุดแข็งของธนาคารคือการมีฐานลูกค้าและทรัพยากรจำนวนมาก อี-วอลเล็ทจึงเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าซึ่งธนาคารเข้าไม่ถึง หรือไม่ต้องการเข้าถึงเพราะไม่คุ้มทุน เช่น กลุ่มผู้มีรายได้ไม่พอต่อการทำบัตรเครดิตซึ่งมีหลายสิบล้านคน หรือกลุ่มที่ไม่ต้องการใช้บัตรเครดิตออนไลน์ และเมื่อขยายธุรกิจนี้ออกไปต่างประเทศก็พบว่าในเมียนมามีผู้ที่เข้าไม่ถึงระบบธนาคารสูงถึงราว 90% อินโดนีเซีย 80% ฟิลิปปินส์ 75% Ascend Group จึงต้องการขยายบริการให้ครอบคลุมกลุ่มดังกล่าวภายใน 10-20 ปีนี้  

โตให้ไวในตลาดดิจิทัลอาเซียน

ปลายปีที่ผ่านมา Ascend Group เรียกเสียงฮือฮาด้วยการจับมือ Ant Financial Services ผู้ให้บริการการเงินออนไลน์ เช่น Alipay ในเครือ Alibaba Group ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นใน Ascend Money ราว 20% และมีความเป็นไปได้ที่จะถือหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งมาเสริมแกร่ง 3 ด้าน คือ โนว์ฮาวธุรกิจ โนว์ฮาวเทคโนโลยี และพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งทำให้ Ascend Money สามารถเจรจาได้ทั้งจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ปุณณมาศจึงตั้งเป้าให้ Ascend Money ครอบคลุมผู้ใช้บริการ 100 ล้านคนภายในปี 2563 จากขณะนี้ซึ่งอยู่ที่ราว 26 ล้านคน “เรามีโอกาสก้าวไปถึงการให้บริการผู้คน 100 ล้านคนแน่ๆ อย่างเดียวที่จะทำให้ไปไม่ถึงก็คือตัวเราเอง เราไม่ได้ขาดโอกาสหรือทรัพยากร ดังนั้นต้องสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นว่าเราทำได้” ทว่า อุปสรรคในแต่ละประเทศคือกฎเกณฑ์ที่ต่างกัน Ascend Money จะก้าวสู่ประเทศอื่นได้ก็ต้องมีใบอนุญาตให้บริการการเงินอิเล็กทรอนิกส์เสียก่อน บริษัทจึงดำเนินการขอใบอนุญาตเองในไทยและเมียนมา ส่วนอีก 4 ประเทศ คือ กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ใช้กลยุทธ์เข้าซื้อบริษัทที่ถือใบอนุญาตอยู่แล้วประเทศละ 1 บริษัท

กัมพูชามีความพร้อมและเดินหน้าได้ดี ทุกวันนี้มีเงินหมุนผ่านระบบของ Ascend Money เฉลี่ย 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อเดือน เทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วกัมพูชามีอัตราการเติบโตของธุรกิจสูงสุด แต่หากมองมูลค่า อินโดนีเซียถือว่าเติบโตกว่าเพราะมีประชากรมากกว่า แต่ก็มีความท้าทายเพราะอินโดนีเซียมีกว่า 10,000 เกาะ แนวคิดของการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังเป็นเรื่องใหม่ ปุณณมาศกล่าวถึงรายได้รวมของ Ascend Group ปีที่ผ่านมาว่าอยู่ที่ราว 6.3 พันล้านบาท Ascend Money สร้างรายได้มากสุดที่ราว 55% พันธวณิช 28-29% อีก 16-17% มาจาก cloud computing, data center และบริการด้านการตลาดดิจิทัล มีรายได้จากในประเทศและต่างประเทศ 80% และ 20% ปีนี้เขาวางเป้าหมายเติบโตให้ถึง 6.9 พันล้านบาท และจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% ภายในปี 2563 Ascend Group จะยังสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจฟินเทคในอาเซียน ควบคู่กับการเป็นผู้นำในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแบบ B2B ในนามพันธวณิช เขาคาดว่าปีนี้พันธวณิชจะโตราว 40% จากเดิมที่โต 5-10% ต่อปี ส่วน B2C ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในไทยมีมูลค่าการซื้อขายราว 2-3% ของมูลค่าการค้าปลีกทั้งหมด เขามองว่าไทยยังโตได้อีกมาก แต่ไม่แน่ใจว่าจะถึง 10% หรือไม่ เพราะโมเดิร์นเทรดถูกสร้างมาดีและมีการแข่งขันสูง เช่นเดียวกับ Ascend Capital ที่เป็น venture capital (VC) ปีนี้คงยังไม่ทุ่มลงทุน  

สร้างโอกาสให้ทุกคน

บริษัทมีพนักงานราว 2,800 คน ใน 6 ประเทศ โดยอยู่ในไทยราว 1,600 คน อายุเฉลี่ยคือ 29 ปี และมีแนวโน้มลดลง ปุณณมาศจึงสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้สอดคล้องกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่และคล้ายคลึงกับรูปแบบของสตาร์ทอัพ คือมีความคล่องตัวและปรับตัวได้เร็ว “องค์กรนี้จะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยการมีบุคลากรที่ดี ไม่ใช่เพราะเรามีเทคโนโลยีที่ดี เราต้องการเป็นสถาบันที่สร้างบุคลากรที่ดี” ปุณณมาศ บอกหนักแน่น เขายอมรับว่าแวดวงการเงินดิจิทัลมีการแข่งขันสูง และทุกบริษัทต่างก็ต้องการบุคลากรฝีมือฉกาจไปร่วมงาน เรื่องเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะสิ่งจูงใจลำดับต้นๆ ที่ทำให้บุคลากรเชื่อมั่นคือพันธกิจขององค์กร นอกจากนี้ เขายังไม่ยึดติดความอาวุโส หากพนักงานคนไหนอายุน้อยแต่ความสามารถเปล่งประกายก็มีโอกาสเติบโต แต่ปุณณมาศก็ไม่ละเลยพนักงานอายุ 30-40 ปีขึ้นไปที่สั่งสมประสบการณ์มานาน เพราะคนกลุ่มนี้มีความสุขุมและมองอะไรได้รอบด้านมากกว่า เมื่อผนวกความคิดของคน 2 รุ่นเข้าด้วยกันก็ผลักให้องค์กรเดินไปข้างหน้าได้ “ถ้าคุณมีความฝันและมีความตั้งใจสูงคุณก็สามารถสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นจากในประเทศไทยและเติบโตไปไกลในระดับโลกได้” ปุณณมาศปิดท้ายพร้อมรอยยิ้ม  

---

คลิกอ่าน "ปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศา ปั้น Ascend Group รุกตลาดดิจิทัลอาเซียน" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ พฤษภาคม 2560 ในรูปแบบ e-Magazine