เกรท วอลล์ มอเตอร์ส (GWM) ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากจีนเพิ่งเข้ามาบุกตลาดรถยนต์ในไทยได้เพียงปีเศษ แต่ทว่ารถยนต์ 3 รุ่นที่นำเข้ามาสามารถทำยอดขายอันดับ 1 ของเซกเมนต์ได้ถึง 2 รุ่น เบียดเจ้าตลาดเดิมลงได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังเปลี่ยนระบบการทำตลาดแบบเดิมไปอย่างสิ้นเชิง
เกมใหม่ของธุรกิจยานยนต์ภายใต้การนำของ ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส ประเทศไทย (GWM) อดีตผู้บริหารค่ายรถยนต์อเมริกันวัย 53 ปี และทีมงานคนรุ่นใหม่ที่มาจากหลากหลายธุรกิจ ร่วมกันพลิกเกมนำ GWM ประเทศไทยสร้างการยอมรับสู่ตลาด ด้วยการขับเคลื่อนองค์กรและธุรกิจจากบิ๊กดาต้าและ consumer voice เสียงสะท้อนตรงจากผู้บริโภค “GWM เข้ามาทำตลาดในไทยครบ 1 ปีพอดี ผมอยู่ตั้งแต่ต้นเมื่อครั้งเปิดตัวเดือนมิถุนายน ปี 2563” ณรงค์เริ่มต้นการสัมภาษณ์กับทีมงาน Forbes Thailand ในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ โชว์รูมใหญ่ของ GWM ที่ไอคอนสยามซึ่งเป็น 1 ใน 9 โชว์รูมหลักที่ GWM สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่พบปะลูกค้า โชว์รถยนต์ และให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์กับแบรนด์ได้หลากหลายกิจกรรมที่ไม่ได้เน้นเพียงเพื่อการขายอย่างเดียวกระแสตอบรับเกินคาด
จากจุดเริ่มต้น GWM เข้ามาในไทยเปิดสำนักงานอยู่ที่อาคารเดอะ ไนน์ ถนนพระราม 9 มีพนักงานเพียง 20 คนเท่านั้น “เราไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะโตได้เร็วภายในเวลาเพียงปีเดียว เป็นที่ยอมรับของตลาดในแบรนด์รถยนต์จีน โดยเฉพาะเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า” ณรงค์กล่าวออกตัวเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มอย่างสุขุม เขาดูเป็นคนพูดน้อยแต่เน้นสาระชัดเจน และที่สำคัญอธิบายเรื่องต่างๆ ได้อย่างเห็นภาพ นี่คงเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเขาที่ทำให้ทีมงานเข้าใจและร่วมกันครีเอตแนวคิดใหม่ๆ ในการทำธุรกิจรถยนต์เมืองไทยฝ่าปราการที่แข็งแกร่งจากค่ายรถญี่ปุ่นในฐานะพี่ใหญ่ และค่ายยุโรปซึ่งต่างปักหลักในไทยเกินกว่า 20 ปีแล้ว แม้จะเป็นน้องใหม่และเป็นค่ายรถจากจีน แต่ GWM ก็ไม่น้อยหน้าทั้งในแง่โปรดักต์ที่นำเข้าสู่ตลาด รถยนต์ 3 รุ่นจาก 2 แบรนด์ที่ชิมลางตลาดในไทยเพียงปีเดียวสร้างการยอมรับได้ความเชื่อมั่นและมัดใจลูกค้าด้วยยอดขายถล่มทลาย โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มีความน่ารักน่าใช้ทั้งรูปลักษณ์โปรดักต์ที่สวยสะดุดตา แถมชื่อรุ่นรถที่นุ่มนวลและเป็นมิตรใกล้เคียงสัตว์เลี้ยงตัวโปรดอย่าง ORA Good Cat รถยนต์นั่งในกลุ่ม B segment ที่เป็น BEV (Battery Electric Vehicle) รุ่นประหยัดของยนตรกรรมไฟฟ้า 100% ที่ดูน่ารักน่าใช้ สามารถเบียดยอดขายแซงหน้ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใกล้เคียงได้อย่างรวดเร็ว GWM ไม่ใช่รุ่นแรกของยนตรกรรมไฟฟ้า 100% ที่เปิดขายในไทย เพราะก่อนหน้านี้มีรถยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์หลายรุ่นขายอยู่แล้ว และหากดูจากรถยนต์ไฟฟ้าที่นำมาโชว์ในงาน Motor Expo 2021 มีรถ BEV มากถึง 12 แบรนด์ ทั้งค่ายเจ้าตลาดเดิมจากญี่ปุ่น ยุโรป และจีนสายพันธุ์ยุโรปเดิมเป็นผู้นำรถไฟฟ้าในไทยมาก่อนหน้านี้ สนนราคารถ BEV ที่เปิดตัวมีตั้งแต่ 400,000 บาทต้นๆ ไปจนถึงระดับสูงกว่า 7 ล้านบาท เรียกว่าตลาดหลากหลายพอสมควร แม้จะยังไม่ถึงกับเป็นเรดโอเชียนแต่ก็มีการแข่งขันให้เห็นระดับหนึ่ง ก่อนหน้านี้รถไฟฟ้าค่ายดังจากญี่ปุ่นก็พ่ายเกมให้รถไฟฟ้าแบรนด์จีนเชื้อสายยุโรปไปอย่างราบคาบ มาในปี 2565 ต้นปีกับงานใหญ่ Bangkok International Motor Show 2022 กระแสแรงของรถไฟฟ้ายิ่งมากขึ้นไปอีกเพราะในช่วงงานที่มีรถยนต์ไฟฟ้ามาโชว์ตัวกันอย่างคับคั่ง ORA Good Cat เป็นหนึ่งในนั้น และดูเหมือนมีความโดดเด่นมาก ต่อเนื่องจากงานมียอดจองสะสมพุ่งไป 3,500 คันภายในเวลาอันรวดเร็ว จนกระทั่ง GWM ต้องประกาศปิดรับจอง เพราะเกรงว่าจะส่งมอบรถล่าช้า เนื่องจากรถรุ่นนี้นำเข้าทั้งคันจากจีน และช่วงนั้นมีปัญหาเรื่องชิปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทางบริษัทเกรงว่าจะผลิตไม่ทัน จึงหยุดการจองไว้ชั่วคราว ณรงค์ยอมรับว่ามาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่รัฐบาลให้การสนับสนุนคันละราว 100,000 บาท ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงไปกว่า 160,000 บาท เป็นตัวเร่งหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญเหนือกว่านั้นคือ การที่โปรดักต์ตอบโจทย์ตลาดได้ตรงใจลูกค้าเพราะ BEV ของ GWM รุ่นนี้แม้จะคันเล็กแต่สมรรถนะถือว่าไม่เล็ก ระยะทางการวิ่งต่อครั้งสำหรับการชาร์จไฟเต็ม (80%) สามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 500 กม. สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้มากขึ้นในภาวะที่สถานีชาร์จยังมีไม่มากนักเช่นปัจจุบัน
จองจบครบในช่องทางออนไลน์
ที่สำคัญการจองซื้อทุกอย่างของรถค่าย GWM ทำผ่านเว็บไซต์เป็นระบบออนไลน์ ซึ่งมีทั้งหน้าเว็บของ gmw.co.th และแอปพลิเคชัน GWM ซึ่งมีฐานลูกค้าดาวน์โหลดแล้ว 50,000 user ในกลุ่มนี้แอ็กทีฟอยู่ราว 10-15% “นี่ก็เป็นอีกความใหม่ของการขายรถยนต์ในไทย ลูกค้าศึกษารายละเอียดรถ จองซื้อ และชำระเงินผ่านหน้าเว็บไซต์ได้ทั้งหมด” ณรงค์อธิบายวิธีการขายรูปแบบใหม่ที่เมืองไทย ซึ่งน่าจะเป็นรายแรกๆ ที่การจองซื้อทุกขั้นตอนจบในออนไลน์ “เราเปลี่ยนรูปแบบการทำตลาดรถยนต์ในไทยใหม่ จากการซื้อที่โชว์รูมหรือซื้อตามงานแสดงรถยนต์มาเป็นการจองซื้อออนไลน์ผ่านเว็บไซต์เราโดยตรง ข้อเสนอโปรโมชั่นทุกอย่างเป็นราคาเดียวเหมือนกันหมด” นี่เป็นอีกหนึ่งการปฏิวัติระบบการขายรถยนต์ของไทยซึ่งณรงค์เล่าว่า การขายแบบเดิมๆ ผ่านดีลเลอร์หรือตัวแทนขายไม่ใช่คำตอบของ GWM ซึ่งได้ยกเลิกระบบดีลเลอร์ออกไป โดยบริษัทเป็นผู้ขายเองทั้งหมด กำหนดราคาและโปรโมชั่นเอง เป็นราคาเดียวข้อเสนอเดียวในแต่ละช่วง ใครที่เป็นแฟนคลับคงทราบดีว่าบริษัทมีข้อเสนอที่เรียกว่า “Ultra Deal” เป็นดีลพิเศษสำหรับผู้ที่จองก่อนได้ราคาดีที่สุด นั่นเป็นเพราะการทำตลาดของ GWM ไม่ได้เกิดขึ้นจากการมองภายในแต่มันแปลงมาจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้มาจากลูกค้าผ่านสิ่งที่เรียกว่า consumer voice การรับฟังเสียงสะท้อนจากลูกค้าโดยตรงผ่านทุกช่องทาง ทำให้บริษัทสามารถออกแบบดีลต่างๆ ให้ลูกค้าได้ตรงใจ โดยเฉพาะแอปพลิเคชัน GWM ที่มีผู้ดาวน์โหลดใช้กว่า 50,000 user ยอดแอ็กทีฟ 15% เท่ากับ 7,500 user ถือว่ามากพอที่จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในตลาด “ลูกค้าที่โหลดแอปเรา มีทั้งคนที่เป็นลูกค้าแล้วและผู้สนใจที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าก็มีไม่น้อย คนกลุ่มนี้คือเสียงสะท้อนสำคัญของผู้บริโภค” กรรมการผู้จัดการ GWM ประเทศไทย อธิบายอย่างเห็นภาพนำร่องการตลาดโมเดลใหม่
การทำตลาดออนไลน์ การสร้างแบรนด์ค่ายรถยนต์จีนให้คนยอมรับไม่ใช่เรื่องง่าย ณรงค์เล่าว่า เขาและทีมงานที่เป็นคนรุ่นใหม่มาจากหลากหลายธุรกิจ ทั้งด้านไอที ค้าปลีก และอี-คอมเมิร์ซ จากหลากหลายประสบการณ์มารวมกัน สำหรับตัวเขาอดีตเคยเป็นผู้บริหารค่ายรถอเมริกันอย่าง Ford และ Caterpillar หันมาทำตลาดรถยนต์ค่ายจีนก็ไม่ง่าย วัฒนธรรมการทำงานต่างกันสินค้าต่างกัน และแน่นอนการหลอมรวมความหลากหลายของทีมงานให้มองสู่เป้าหมายเดียวกันไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินไป เพราะเขาสามารถดึงความเก่งของแต่ละคน แล้วนำจุดแข็งเหล่านั้นมารวมกัน สร้างเป็นวัฒนธรรมใหม่ของ GWM ประเทศไทย ซึ่งต้องบอกว่า โมเดลการทำธุรกิจนี้เป็นแห่งแรกในโลก ที่จีนก็ไม่ได้ทำตลาดแบบนี้ ที่ประเทศอื่นๆ ที่ GWM ไปลงทุนก็ไม่ใช่โมเดลนี้เช่นกัน “บริษัทแม่ที่จีนถึงกับเชิญผมให้ไปแชร์ประสบการณ์การทำตลาดในไทยเพื่อเป็น role model ให้กับที่นั่น เพราะมองเห็นความสำเร็จภายในระยะเวลาอันสั้น” ณรงค์เล่าไปเรื่อยๆ ถึงความสำเร็จด้วยจังหวะที่ลงตัวมีเสียงหัวเราะสลับเสียงบอกเล่าสนับสนุนของทีมงานที่มาร่วมในการสัมภาษณ์ด้วย พวกเขายืนยันว่า การทำงานที่นี่ต่างไปจากงานที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อดีคือ กรรมการผู้จัดการของพวกเขาเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความเห็น ความสามารถ และนำประสบการณ์เดิมมาประยุกต์ให้เหมาะกับวิถีการทำงานใหม่ของ GWM ประเทศไทย ได้อย่างสบายใจ มันทำให้จับต้องได้ และมองเห็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริง ที่มาอันหลากหลายของทีมงานกลายเป็นจุดแข็งของการสร้างทีม เมื่อณรงค์เปิดกว้างและยอมรับมันทำให้ทุกคนสามารถส่งพลังที่มีในตัวออกมาได้อย่างเต็มที่ และนี่ก็เป็นจุดแข็งของกรรมการผู้จัดการ GWM ประเทศไทย ที่สามารถผสมผสานวัฒนธรรมการทำงานที่แตกต่างให้เป็นหนึ่งเดียว “แต่ละ culture ผมว่ามันก็จะมีข้อดีแตกต่างกัน อย่างบริษัทอเมริกันจะ focus ที่ result ของการดำเนินงาน ด้วยหลักคิดทำน้อยแต่ได้มาก พูดง่ายๆ คือ ทำอย่างไรก็ได้ที่ให้ทำงานน้อยแต่ได้ผลประกอบการที่ดี” ส่วนบริษัทจีนวัฒนธรรมที่ณรงค์มองเห็นคือ “จีนจะเน้นการทำงานมาก เชื่อเรื่องทำมากได้มาก จะเห็นว่าต่างจากฝั่งตะวันตกแนวคิดไม่เหมือนกัน” เขามองว่าวัฒนธรรมที่ต่างกันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่เป็นกระจกสะท้อนวิธีคิดและการทำงาน
คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนสิงหาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine
