เบื้องหลังการร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถยกระดับความเปลี่ยนแปลงทุกมิติในยุคดิจิทัล ด้วยความเชี่ยวชาญของที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันครบวงจรสัญชาติไทยสร้างผลงานและความไว้วางใจเทียบชั้นบริษัทระดับโลก พร้อมติดสปีด Bluebik Global ท้าชิงส่วนแบ่งตลาดต่างประเทศ
เจตนารมณ์ความมุ่งมั่นในการเป็นที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันครบวงจรของไทยสะท้อนชัดนับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจจากชื่อของบริษัทซึ่งผสมคำระหว่าง บลูโอเชียน หมายถึง กลยุทธ์การค้นหาน่านน้ำการแข่งขันใหม่ที่สอดคล้องกับโอกาสยุคดิจิทัล และรูบิค หรือ rubik’s cube ลูกบาศก์ลับสมองใช้วิธีบิดหมุนให้แต่ละด้านมีสีเดียวกัน แทนสัญลักษณ์การแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็ว
“เราชอบ IT ตั้งแต่เด็ก ครอบครัวและโรงเรียนก็สนับสนุนให้เข้าแข่งขันเขียนโปรแกรมได้รับรางวัลต่างๆ สมัยเรียนเราก็เลือกเรียนด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาฯ และเริ่มทำงาน IT Consultant ที่ PwC ให้คำปรึกษาการนำ IT ใช้ในธุรกิจ ก่อนจะเรียนบริหารต่อที่อเมริกาและกลับมาทำงานสายกลยุทธ์ธุรกิจเต็มตัวที่ BCG เป็นที่ปรึกษาโปรเจกต์ให้ CEO บริษัท top 500 ของโลก และได้ทำเรื่อง digital transformation ที่ต้องเข้าใจทั้งด้านธุรกิจและเทคโนโลยี ซึ่งขณะนั้นได้พบกับคุณโป้ง ปกรณ์ ผู้ร่วมก่อตั้งที่ทำงานสายเทคมาตลอด ทำให้เราเห็นโอกาสการนำจุดแข็งด้านธุรกิจของเราและด้าน IT ของคุณโป้ง โดยรวบรวมคนเก่งแต่ละด้านทำธุรกิจให้บริการ digital transformation ที่สามารถแข่งขันกับบริษัทระดับโลกได้”
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK กล่าวถึงการเริ่มต้นธุรกิจร่วมกับ ปกรณ์ เจียมสกุลทิพย์ ซึ่งนั่งเก้าอี้ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีในปัจจุบันด้วยพื้นฐานความรู้ปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อ MBA (Distinction) in Strategy, Finance and Marketing, Kellogg School of Management Northwestern University สหรัฐอเมริกา
ขณะเดียวกันยังผสมผสานประสบการณ์ทำงานที่ปรึกษาด้านไอที บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ PwC และที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์บริษัท Boston Consulting Group (BCG) โดยเล็งเห็นโอกาสก่อตั้งบริษัทให้บริการปรึกษาที่ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในการให้บริการคำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศให้องค์กร (digital excellence and delivery) ในปี 2556
“เราทำงานที่ BCG ประมาณ 3 ปีจึงตั้งบริษัทในปี 2556 ซึ่งโชคดีที่มีลูกค้าทันทีจากความไว้วางใจให้โอกาสเราได้แสดงฝีมือ และแนะนำงานเพราะเชื่อในความสามารถของเรา โดยเราเน้นการทำด้านกลยุทธ์และระบบซอฟต์แวร์ ซึ่งคำว่า digital transformation กว้างมากตั้งแต่เรื่องกลยุทธ์, ระบบซอฟต์แวร์, cloud, AI, data, cyber security ดังนั้น สิ่งที่เราพยายามทำควบคู่กัน คือ การรวบรวมคนเก่งแต่ละด้านที่เรารู้จักจาก global firm เข้ามาเป็นทีมที่เก่งที่สุดและเติมเต็มบริการครบวงจร โดยเราเป็นบริษัทแรกๆ ที่เปิดตัวบริการ digital transformation แบบ end-to-end ซึ่งขณะนั้นบริษัทต่างชาติยังมีไม่กี่รายที่ทำ”

สำหรับในปัจจุบันบริษัทสามารถขยายการดำเนินธุรกิจครอบคลุมบริการหลักด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (digital transformation consulting services) ได้แก่ ธุรกิจการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (management consulting) เป็นการออกแบบแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจระยะสั้นและระยะยาวประมาณ 3-5 ปี การออกแบบแผนการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการของลูกค้า การวิจัยตลาดสร้างกลยุทธ์การแข่งขัน การออกแบบกระบวนการทำงานลดความซ้ำซ้อน และปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับธุรกิจ
ขณะเดียวกันยังมีธุรกิจการบริหารโครงการเชิงยุทธศาสตร์ (strategic PMO) ในรูปแบบการกำกับดูแลโครงการ กลไกการจัดการโครงการ การบริหารโครงการหรือผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าสามารถดำเนินงานได้ทันเวลา และองค์กรถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงธุรกิจการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (digital excellence and delivery) ให้คำปรึกษาเชิงลึกด้านดิจิทัลครบวงจรและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับองค์กร ตั้งแต่การออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งานและส่วนติดต่อระหว่างผู้ใช้กับระบบ (UX/UI) บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน การพัฒนาและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะด้านในองค์กรด้วยเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและคล่องตัวทางธุรกิจ
นอกจากนั้น บริษัทยังขยายธุรกิจการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลชั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (big data, AI) ธุรกิจบริการด้านทรัพยากรบุคคลชั่วคราวที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที เช่น โปรแกรมเมอร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ ธุรกิจบริการด้านการพัฒนาประสิทธิภาพการใช้ระบบงาน (ERP maximization and advisory) โดยมุ่งเน้นการออกแบบและพัฒนาโปรแกรมบนระบบ SAP ผ่านการเขียนโปรแกรมประยุกต์ทางธุรกิจขั้นสูง รวมถึงธุรกิจด้านการพัฒนาระบบงาน CRM และธุรกิจบริการด้านการพัฒนาระบบพร้อมให้คำปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ครบวงจร (cyber security and solution implementation services)
“รายได้หลักปัจจุบันมาจากการให้คำปรึกษาเทคโนโลยีและการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าเราสามารถนำเสนองานชิ้นเดียวกันทั้งหมด เรามีโอกาสทำได้ดีกว่าการที่ลูกค้าต้องหาหลายบริษัทมาร่วมกันทำ ดังนั้น เราจึงให้บริการครบวงจรตั้งแต่การวางกลยุทธ์ การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี การจัดโครงสร้างทีม IT และเทคโนโลยีที่ต้องใช้ โดยเรายัง implementation สร้างระบบซอฟต์แวร์ทั้งหน้าบ้าน mobile application หลังบ้าน core system ระบบ ERP, CRM บริการ AI, big data ตั้งแต่วางระบบ จัดเก็บข้อมูล ประมวลผล วิเคราะห์ คาดการณ์ รวมถึง cyber security การหาช่องโหว่ระบบและจัดการถ้าระบบถูกเจาะ พร้อมบริหารโครงการขนาดใหญ่ PMO ที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก”

พชรกล่าวถึงธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม (digital platform) ซึ่งพัฒนานวัตกรรม LISMA และ LISMA X เชื่อมต่อระบบ SAP เข้ากับแพลตฟอร์ม LINE และ Microsoft ช่วยให้สามารถใช้งานระบบได้สะดวกและปลอดภัยขึ้น โดยยังมีการจับมือกับพันธมิตรธุรกิจที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านไอทีระดับโลกร่วมกันนำเสนอไอทีโซลูชันที่รองรับความต้องการและสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชันรวมถึงเทรนด์ธุรกิจรุ่นใหม่
ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจร่วมค้ากับพันธมิตรต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้ง บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด ซึ่งร่วมทุนกับ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด บริษัทในเครือของ ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อให้บริการคำปรึกษา ออกแบบ พัฒนา ดูแลรักษาระบบและแอปพลิเคชันของบริษัทในเครือ OR รวมถึงการร่วมกับบริษัท เดอะ สแตนดาร์ด จำกัด ก่อตั้ง บริษัท ซอส สกิลส์ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาหลักสูตรอบรมองค์กร ด้วยการยกระดับทักษะและความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัล ธุรกิจ และส่งเสริมความเป็นผู้นำ พร้อมตั้ง บริษัท อีโคเอ็กซ์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม (green technology)
ชูผลงานปลดล็อกสู่ Global
แม้ต้องเผชิญบททดสอบอันท้าทายจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่พชรสามารถแสดงฝีมือพลิกวิกฤตเป็นโอกาสสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดดหลังนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อวันที่ 16 กันยายน ปี 2564 จากตัวเลขรายได้ 306.36 ล้านบาทในปี 2564 ทะยานสู่ระดับ 1.32 พันล้านบาทในปี 2566 พร้อมขยายฐานความเชื่อมั่นในต่างประเทศที่มีความต้องการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันสูง โดยเฉพาะอินโดนีเซีย สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และเวียดนาม
“Bluebik ไม่ได้เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนจำนวนมาก เมื่อถึงจุดหนึ่งเราต้องขยายธุรกิจ ทำให้เรื่องการเข้าตลาดฯ อยู่ในใจเรามาตลอด และเตรียมตัวทั้งการควบคุมระบบภายใน เรื่องบัญชีตั้งแต่วันแรก โดยระหว่างทางก็เกิดโควิด-19 ซึ่งช่วงแรกส่งผลลบเพราะการลงทุนถูกชะลอชั่วคราว แต่ไม่นานงานดิจิทัลก็กลับมาและธุรกิจต่างๆ ยังตระหนักว่าการลงทุนดิจิทัลเป็นเรื่องจำเป็น เช่น ค้าปลีกที่ขายสินค้าผ่านออนไลน์ e-commerce, food delivery หรือธนาคารก็ใช้ช่องทางดิจิทัล รวมถึงการขยายลูกค้าไปต่างประเทศเรายังสามารถ remote working ได้ และ pitch งานทางออนไลน์ได้หลายโปรเจกต์ ทั้งอินโดนีเซีย สิงคโปร์ อังกฤษ ทำให้รายได้เราเติบโตสูง และทีมงานเพิ่มมากกว่า 3 เท่าจาก 300 คนเป็นจำนวนมากกว่า 1,000 คนในช่วง 3 ปีนี้”

พชรกล่าวถึงการให้บริการพัฒนาระบบดิจิทัลและคำปรึกษาด้านเทคโนโลยีในกลุ่มลูกค้าต่างประเทศด้วยจุดแข็งหลักทางธุรกิจ ได้แก่ ศักยภาพของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัล และข้อได้เปรียบต้นทุนบริการที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อย บลูบิค โกลบอล จำกัด ในปี 2565 เพื่อดำเนินธุรกิจการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยี (digital excellence and delivery) และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการในต่างประเทศ
ขณะที่ในปีเดียวกันยังจัดตั้งบริษัท Bluebik Technology Center ในประเทศอินเดีย เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรม ความรู้ทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย และศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านไอที โดยเฉพาะในการเสริมทัพการขยายตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมจดทะเบียนบริษัทที่สหราชอาณาจักรดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคยุโรป รวมถึงจดทะเบียนในประเทศเวียดนาม ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และฮ่องกงมุ่งเน้นการให้บริการในภูมิภาคเอเชีย
สำหรับกลยุทธ์หลักสำคัญขององค์กรยังคงมุ่งเน้นการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่การสรรหาและรักษาบุคลากรคุณภาพที่มีความเชี่ยวชาญให้อยู่กับองค์กร โดยมีนโยบายการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรักษาคุณภาพของการให้บริการรักษาฐานลูกค้าเดิมและเข้าถึงลูกค้าใหม่ เช่น การจัดสัมมนาอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับลูกค้าและให้ความสำคัญในการศึกษาทางธุรกิจร่วมกับลูกค้า เพื่อส่งมอบบริการคุณภาพที่สามารถตอบสนองความต้องการแท้จริงของลูกค้า พร้อมทั้งสร้างปัจจัยความสำเร็จเพิ่มจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมและลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
“ระยะสั้นเราต้องการขยาย market share ในประเทศให้สูงขึ้นจากที่เราเป็นผู้เล่นสัญชาติไทยรายเดียวใน top 3 ที่เติบโตในขนาดใกล้เคียงกับผู้เล่นต่างชาติ ทำให้เรามีโอกาสชิงส่วนแบ่งทางการตลาด ส่วนระยะกลางเราต้องการไปตลาดภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งประเทศที่เราเริ่มสร้าง footprint ได้แล้วเราจะเปิดออฟฟิศ โดยเน้นการมี partnership กับชาวต่างชาติและ local อยู่ด้วย สำหรับระยะยาวเรามองตัวเองเป็น global firm โดยไม่หยุดที่งานที่ปรึกษาเท่านั้น เพราะเชื่อว่าสุดท้ายเราเป็นพาร์ตเนอร์ด้าน transformation ที่ให้บริการอย่างครอบคลุมและผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่เราเริ่มลงทุนและพยายาม seed ให้ธุรกิจผลิดอกออกผลในอนาคต”
พชรย้ำความมั่นใจในความสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการเป็นหน่วยงานด้านนวัตกรรมระดับสากลด้วยการนำเสนอบริการครบวงจร โดยเฉพาะการเป็นที่ปรึกษาด้านดิจิทัลครบวงจร ซึ่งช่วยให้ลูกค้าประหยัดเวลาในการติดต่อประสานงานกับที่ปรึกษาและเลือกใช้บริการอื่นเพิ่มเติมในกลุ่มบริษัทได้ โดยบริษัทยังมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรที่มีคุณภาพรวมถึงความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบายการกำหนดราคาเป็นธรรมตามปัจจัยการพิจารณาค่าบริการที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีช่องทางการบริการที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดเชิงรุกในการจัดอบรมสัมมนาให้ความรู้กลุ่มเป้าหมาย การทำการตลาดดิจิทัลในรูปแบบการเผยแพร่องค์ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจ และการแนะนำจากพันธมิตรของกลุ่มบริษัท รวมถึงผลงานในอดีตที่มีคุณภาพสามารถสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจการเงิน เช่น ธนาคาร เงินทุน หลักทรัพย์ ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจอื่นๆ เช่น ยานยนต์ การรบริการ อสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง เป็นต้น

“Key สำคัญเรื่องแรกคือ เราให้ความสำคัญกับคุณภาพมาก ด้วยการตั้งธงไว้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกว่าเราแข่งขันกับบริษัทต่างชาติเรื่องการให้บริการเทคโนโลยี แม้จะ start จาก local market แต่คู่แข่งเราเป็น global company มาตลอด ซึ่งคุณภาพจะมาได้ต้องเกิดจากคน โดยวางเป้าหมายที่ top talent ทำให้งานบริการของเรามีคุณภาพ 2. คือความพยายามหานวัตกรรม ไม่เฉพาะโซลูชันที่นำเสนอลูกค้า แต่ยังร่วมมือกับลูกค้าด้วย เช่น การตั้งบริษัทร่วมทุนกับกลุ่ม OR เรื่องถัดมาที่ทำให้เราเติบโตในช่วงแรกเป็นเรื่องราคาที่สามารถแข่งขันได้จากข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุน เพราะไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้ global headquarter รวมถึงผลงานที่เราเคยทำสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ”
ซีอีโอวัย 38 ปี เชื่อมั่นในความสำคัญของบุคลากรที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของบริษัทสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ”BLUE” ซึ่งเป็นดีเอ็นเอของทีมงานบลูบิค ประกอบด้วย Beat Deep Standard ทำให้เกินกว่ามาตรฐาน Lead by Action นำด้วยการกระทำ Unite การรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ Empower Team Member การเสริมพลังให้สมาชิกในทีม โดยการขยายธุรกิจและการให้บริการที่แตกต่างอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันได้
“เราต้องสามารถดึงดูดคนเก่งที่สุดและรักษาให้อยู่กับเราได้ด้วยการเป็นบริษัทที่เติบโตสูง เพราะถ้าเขาอยู่กับเราแต่เราไม่เติบโตเขาก็ไม่มีช่องว่างให้ไปต่อได้ ดังนั้น เราต้องสร้างองค์กรให้รองรับอนาคตของเขาในความเร็วที่เหมาะกับ top talent ซึ่งเราคาดการณ์รายได้ปี 2567 ไว้ประมาณ 1.5 พันล้านบาท และกลับมาเติบโตในระดับสูง 20-30% ในปี 2568 โดยเทรนด์การให้บริการจะเปลี่ยนไปตามดีมานด์ลูกค้าอย่าง AI transformation ด้วยการนำเสนอบริการที่ช่วยให้องค์กรสามารถ transform AI พัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้นทั้งการวางกลยุทธ์เกี่ยวกับ AI การสร้างแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน, data, cyber security ซึ่งบริษัทต่างชาติไปอยู่แล้ว แต่เราเชื่อว่า แต่ละเคสรายละเอียดต่างกัน และเรามีพื้นที่ที่เป็นความถนัดของเรา”
ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ประภาวดี โสภณพนิช นำศิลปะไทยสู่เวทีนักสะสมโลก
