ผู้สืบสานกิจการรุ่น 2 ของกลุ่มผู้ผลิตรองเท้า S.C.S. เดินหน้าสร้างการเติบโตเพื่อชิงแท่นผู้นำของตลาดภายใน 5 ปี ฝ่าข้อจำกัดผู้บริโภควัยเรียนลดลงสู่ผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นที่ลูกค้าพร้อมจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง สานต่อนโยบายจากผู้ก่อตั้ง ฉีกตัวสู่ธุรกิจใหม่นอกร่มเงากิจการค้ารองเท้าโดยยึดปัจจัย 4 เป็นเส้นทางหลัก
อดีตพ่อค้าขายรองเท้าที่ไล่ล่าหาโอกาสสร้างวิชาชีพและเพิ่มพูนรายได้แก่ครอบครัวอย่าง มงคล วงศ์วีระนนท์ชัย ที่ชักชวนน้องชาย หรรษา วงศ์วีระนนท์ชัย (ปัจจุบันคือกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.ซี.เอส. สปอร์ตแวร์ จำกัด) และ วิริยะ วงศ์วีระนนท์ชัย ก่อตั้งโรงงานผลิตรองเท้าขึ้นเมื่อปี 2518 จนปัจจุบันที่ธุรกิจรองเท้าเติบโตขึ้นโดยอยู่ภายใต้การบริหารงานของ 5 บริษัท โดยมีโรงงานผลิตสินค้าทั้งในกรุงเทพฯ ภาคกลาง และตะวันออกเฉียงเหนือรวม 5 แห่ง ด้วยจำนวนแรงงานท้องถิ่นและจากประเทศเพื่อนบ้านกว่า 3,000 คน และมีกำลังการผลิตที่ราว 70% ของกำลังการผลิตรวม 100,000 คู่ต่อเดือน “เราอยากเป็นผู้นำในตลาดรองเท้านักเรียน ที่อย่างน้อยต้องมีส่วนแบ่งตลาดเกินกว่า 50% ของตลาดรวม และขยายการเติบโตของรองเท้ากลุ่มอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วย เพื่อให้สามารถเป็นผู้นำของตลาดรวมในอนาคต” ยืนยันโดยทายาทรุ่น 2 สมฤกษ์ วงศ์วีระนนท์ชัย รองกรรมการผู้จัดการบริษัท เอส.ซี.เอส. สปอร์ตแวร์ จำกัด “คุณพ่อและคุณอาคุ้นเคยกับการผลิตรองเท้าอยู่แต่แรกจากการเคยเป็นพ่อค้าขายรองเท้ามาก่อน จึงเล็งเห็นที่จะก่อตั้งกิจการของตัวเองขึ้นเพื่อวางขายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น รองเท้าหุ้มส้น ที่มีกำลังการผลิตจากแรงงานคนแค่หลัก 10 คู่ต่อเดือน” สมฤกษ์เล่าอีกว่า หลังเปิดกิจการได้ราว 10 ปีไปแล้ว (ปี 2528) ทางผู้ก่อตั้งเริ่มเล็งเห็นโอกาสแจ้งเกิดของรองเท้านักเรียน ด้วยเชื่อมั่นในการเติบโตและยังไม่มีคู่แข่งมาชิงชัยมากนัก ตลอดจนมองว่าเพื่อให้กิจการเดินหน้าได้อย่างยั่งยืนก็ควรผลิตสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัทเอง จึงจุดประกายด้วยรองเท้านักเรียนผู้หญิงยี่ห้อ S.C.S. “การจะทำให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคในวงกว้าง จำเป็นต้องมีแบรนด์ของตัวเอง” แม้การค้ารองเท้าจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี แต่ทุกช่วงชีวิตของการบริหารธุรกิจย่อมหลีกไม่พ้นโจทย์ที่ท้าทาย ด้วยภาวการณ์ลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 ทำให้ S.C.S. ต้องเผชิญปัญหาหนี้สินที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่กู้ยืมจากสถาบันการเงิน BIBF ที่ทะยานขึ้นจาก 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นสองเท่าตัว ทำให้ผู้บริหารในยุคนั้นต้องปรับกระบวนยุทธ์โดยเน้นการผลิตสินค้าให้มากขึ้น เพื่อทำรายได้ให้เพียงพอแก่การชำระคืนเงินกู้ โดยไม่มีการลดเงินเดือนและเลิกจ้าง “ปัญหาที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทุกคนร่วมมือกันทำงานหนักขึ้น ทำให้ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีก็สามารถจัดการภาระหนี้ก้อนนั้นได้จบ” ทั้งนี้หลังจากที่ธุรกิจรองเท้านักเรียนค่อยๆ ขยายการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2542 ทาง S.C.S. จึงเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกครั้งโดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์รองเท้าผ้าใบแบรนด์ Breaker ขึ้นโดยสมฤกษ์เล่าว่า ในตอนนั้นเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสมเพราะบริษัทผ่านประสบการณ์การทำรองเท้านักเรียนมาระยะหนึ่ง จึงมีฐานลูกค้าและช่องทางจำหน่ายพร้อมพอสมควร “ความสำเร็จของ Breaker ดีดังที่คาดไว้เราสามารถครองส่วนแบ่งได้ถึง 20% ของตลาดรวมตั้งแต่ปีแรกที่วางจำหน่าย แล้วขยายตัวเพิ่มมากขึ้นทุกปี กระทั่งปี 2548ที่เริ่มใกล้เคียงกับทางเจ้าตลาดและอยู่ที่ราว 30%” ฉีกตัวสู่ตลาดใหม่ ปัจจุบันประชากรวัยเรียนของไทยมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ทำให้ตลาดหดตัวลงจากภาวะสังคมผู้สูงอายุที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อจะให้สามารถรักษาเพดานอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยให้คงอยู่ในระดับที่บริษัทต้องการ ก็จำเป็นต้องขยายการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ปริมาณความต้องการสูงอยู่ เช่น รองเท้ากีฬารองเท้าลำลอง เป็นต้น ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาตลาดรองเท้าสุขภาพ โดยคาดว่าจะเริ่มทำผลิตภัณฑ์รองเท้าสุขภาพเข้าสู่ตลาดภายในปี 2563 สำหรับจุดเปลี่ยนล่าสุดในปี 2561 สมฤกษ์หวังแจ้งเกิดช่องทางออนไลน์ในนาม s.c.s. shopping online ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองในลักษณะมาร์เก็ตเพลสได้อย่างเต็มรูปแบบด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท ที่มุ่งจำหน่ายสินค้าของบริษัททั้งหมด รุ่น 2 แตกยอด สมฤกษ์ ถ่ายทอดเรื่องราวของการรับมอบหมายสืบสานธุรกิจว่า ตัวเขารับรู้ตั้งแต่วัยเด็กแล้วว่าต้องเข้ามาช่วยงานของครอบครัว ตอนแรกสมฤกษ์จะเผื่อใจไว้ว่า หากมีโอกาสอื่นๆ ที่น่าสนใจตัวเขาก็อาจขอปลีกตัวไปสู่สายอาชีพอื่นแทนทว่าหลังจากได้เข้าเริ่มงานที่ S.C.S. เมื่อปี 2534 “พอเข้ามาทำก็เห็นเลยว่างานมหาศาลกว่าที่คิด และรู้เลยว่าผู้ใหญ่รุ่นก่อนใส่พลังไปมากแค่ไหน เพื่อสร้าง S.C.S. ให้เติบโตมาถึงวันนี้” สมฤกษ์เล่าว่า ในยุคของผู้บริหารรุ่น 2 ที่รับโจทย์สร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจครอบครัววงศ์วีระนนท์ชัยนั้น เข้าสู่ช่วงที่เริ่มแตกยอดธุรกิจใหม่นอกร่มงานธุรกิจรองเท้าจึงก่อตั้งกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในนาม บริษัท เอส.ซี.เอส. พัฒนา จำกัด เมื่อปี 2549 เพื่อนำที่ดินซึ่งครอบครัวสะสมไว้ มาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เช่น The Wellington Condominium รามคำแหง 40, Pengo Ville Mae-Sai Garden city จ.เชียงราย เป็นต้น นอกจากนี้ยังเข้าสู่ธุรกิจร้านยา ที่จำหน่ายทั้งยา อาหารเสริม เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ในนาม ดรัก สแควร์ที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัท เอส.ซี.เอส. ฟิวเจอร์ จำกัด สมฤกษ์อธิบายเพิ่มเติมถึงแนวทางของครอบครัวอีกว่า ทางผู้ใหญ่มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการ diversify ธุรกิจของครอบครัวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าก่อนนี้ไม่มีกำลังและบุคลากรที่จะริเริ่ม จึงมาผลักดันอย่างจริงจังในรุ่น 2 ที่ทายาทเริ่มเข้ามาช่วยงาน รวมถึงมองว่าถ้าลองทำธุรกิจใหม่แล้วไม่กำไรอย่างน้อยก็ได้ความรู้จากธุรกิจใหม่ เช่น เดียวกับที่สมฤกษ์เองมองว่าการ diversify เป็นเรื่องดีเพราะช่วยลดความเสี่ยงได้ “ผมเชื่อมั่นว่าธุรกิจรองเท้าจะยังคงอยู่และขยายต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะเป็นสินค้าที่ทุกคนยังจำเป็นต้องใช้อยู่เสมอ” เรื่อง: ชญานิจฉ์ ดาศรี ภาพ: กิตติเดช เจริญพรคลิกอ่านฉบับเต็มของ "สมฤกษ์ วงศ์วีระนนท์ชัย S.C.S. สู่เส้นทางที่ท้าทาย" ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ พฤษภาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine