บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ประกาศว่า บริษัทมีแผนขยายขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเท่าตัว ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าขึ้นอีกประมาณ 2,800 เมกะวัตต์ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ทั่วโลกหันไปผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
ธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ซีเค พาวเวอร์ มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้ง ให้เป็น 4,800 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567โดยโครงการใหม่ทั้ง 6 นี้ จะเป็นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยกำลังการผลิตติดตั้งใหม่ทั้งหมดของเราจะมาจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และพลังงานลม ซึ่งเป็นไปตามแผนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดที่ตั้งเป้าที่จะเข้าไปขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ในต่างประเทศผ่าน 3 การลงทุนใหม่ ซึ่งทุกโครงการจะใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด” ธนวัฒน์กล่าว ธนวัฒน์เปิดเผยว่า ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า ซีเค พาวเวอร์ จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นอีกกว่าสิบเท่าตัว หรือที่ 330 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น ภายในระยะเวลาเดียวกัน ก็จะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมขึ้นอีกสองเท่า กลายเป็น 700 เมกะวัตต์ ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้ 95% ของไฟฟ้าที่บริษัทผลิตทั้งหมด มาจากการใช้พลังงานหมุนเวียน ธนวัฒน์กล่าวว่า “มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมหาศาลจากการที่ทั่วโลกหันมาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP 26 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีมติเห็นชอบในข้อตกลง Glasgow Climate Pact ด้วยการที่ประเทศต่างๆ ตัดสินใจร่วมมือกัน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส และกำหนดให้ปี 2563 เป็นปีเริ่มต้นของการเดินหน้าภารกิจสำคัญในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก และส่งผลในเชิงบวกต่อกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวของซีเค พาวเวอร์ ที่เราได้วางไว้ ทั้งนี้ ประสบการณ์ที่ยาวนานของเราในการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียน จะส่งผลให้เราได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากเทรนด์การผลิตไฟฟ้าแห่งอนาคต และในขณะเดียวกัน การที่เราเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีระดับคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ต่ำที่สุดรายหนึ่ง จะทำให้เรามีส่วนช่วยสนับสนุนเรื่องการลดคาร์บอนของประเทศไทย เพื่อช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยเช่นกัน” มีการคาดการณ์ว่าความต้องการพลังงานในภูมิภาคอาเซียนจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ภายในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 20 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด สำหรับประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานน้ำจากร้อยละ 9 เป็น ร้อยละ 18 ภายในเวลาไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้ โดยภายในปี 2573 ประเทศไทยตั้งเป้าให้ร้อยละ 30 ของรถยนต์ใหม่ เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และภาคการขนส่งจะกลายเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน นำหน้าภาคอุตสาหกรรม แนวโน้มอื่นๆ ที่นายธนวัฒน์ระบุว่าจะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ความต้องการไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ การที่รัฐบาลและบริษัทขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างเห็นพ้องต้องกันมากยิ่งขึ้นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน ในฐานะเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศ นอกเหนือไปจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซีเค พาวเวอร์ มีรายได้รวมในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 อยู่ที่ 2,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.7 และมีรายได้รวมงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 อยู่ที่ 6,905 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 20.6 กำไรสุทธิงวด 9 เดือนปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 2,056 ล้านบาท จากกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 397 ล้านบาท ธนวัฒน์กล่าวเสริมว่า ซีเค พาวเวอร์ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงสำหรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต โดยมีอัตราตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ที่ต่ำเพียง 0.67 เท่า ขณะเดียวกันก็มีงบดุลที่แข็งแกร่ง พร้อมกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาจำหน่ายกระแสไฟฟ้าระยะยาวที่ทำกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อ่านเพิ่มเติม: กระทรวงพาณิชย์ เปิด 10 ธุรกิจที่น่าจับตามองปี 2565ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine