บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT ประเมินนโยบายขึ้นค่าแรง กระทบอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เพิ่มแรงกดดันปัจจัยความเสี่ยงด้านต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้น พร้อมกางแผนบริหารจัดการเพื่อรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นและผลักดันการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมาย
สาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา ไม้บันได SPC-FC ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND Cafe) และบริการติดตั้งโครงหลังคาและกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราเพชร เปิดเผยว่า
อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์มีความกังวลต่อนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 450 บาท เนื่องจากเป็นภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงการใช้แรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรมกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวจะเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนให้สูงยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้เตรียมความพร้อมบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยสูงกว่า 80-90% เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ (Economy of Scale) การลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต เป็นต้น
นอกจากนั้น บริษัทยังมุ่งบริหาร Product Mix รักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงน้อยที่สุดและสามารถสนับสนุนกับความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีต่อเนื่อง จากปัจจัยเชิงบวกของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งช่องทางห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ยังมีอัตราการขยายตัวที่ดีตามการเปิดสาขาใหม่ของคู่ค้า
ขณะที่แผนการดำเนินงานในไตรมาส 2 บริษัทยังเน้นการบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องและรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยให้สูงกว่า 90% เพื่อสนับสนุนการทำตลาดผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง ภายใต้กลยุทธ์ “สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง” รองรับความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในทุกช่องทางการจัดจำหน่ายและลดแรงกดดันจากภาวะต้นทุนวัตถุดิบที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง
“แม้จะมีความเสี่ยงด้านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรงของแรงงาน แต่เรามั่นใจว่าจะผลักดันการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยพยายามบริหารจัดการปัจจัยลบดังกล่าวให้ที่ดีสุด”
สาธิตย้ำความมั่นใจในแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้สามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้จากผลงานในช่วงไตรมาสแรกที่มียอดขายจำนวน 1.55 พันล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 12.32% สูงกว่าเป้าหมาย ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ตราเพชรที่ได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลังและช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการจำหน่ายผ่านกลุ่มลูกค้าโครงการผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น
อ่านเพิ่มเติม: Pride Month 2023 กระแสโซเชียลล้นหลาม หลายแบรนด์ดังรณรงค์ “สร้างความเท่าเทียม” เพื่อกลุ่มคน LGBTQ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine