ULYSSE NARDIN แบรนด์นาฬิกาอายุกว่า 170 ปี ตอกย้ำความกล้าที่แตกต่างผ่าน ‘FREAK S NOMAD’ รุ่น Limited โทนสีทราย - Forbes Thailand

ULYSSE NARDIN แบรนด์นาฬิกาอายุกว่า 170 ปี ตอกย้ำความกล้าที่แตกต่างผ่าน ‘FREAK S NOMAD’ รุ่น Limited โทนสีทราย

นับจากปี 2001 ที่ ULYSSE NARDIN เปิดตัวนาฬิกาคอลเล็กชัน ‘FREAK’ ซึ่งฉีกกรอบนาฬิกาชั้นสูงผ่านการนำกลไกเบื้องหลังมาแสดงเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาได้อย่างโดดเด่น ในปีนี้ได้เปิดตัวนาฬิการุ่น FREAK [S NOMAD] ที่ยังคงแสดงถึงความกล้าหาญที่แตกต่าง มาพร้อมกับโทนสีทราย ที่ยังคงแนวคิดหลัก คือ นาฬิกาที่ไม่มีหน้าปัด ไม่มีเข็ม และไม่มีเม็ดมะยม


    ULYSSE NARDIN แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีความเชี่ยวชาญกว่า 170 ปี แม้จุดเริ่มต้นจะเกิดจากการทำนาฬิกาเพื่อใช้ในการเดินเรือ แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน พร้อมกับชื่อเสียงว่าเป็นนาฬิกาที่สามารถบอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรงแม้ต้องเดินทางข้ามน่านน้ำทั่วโลก ทำให้วันนี้แบรนด์สามารถสร้างสรรค์นาฬิกาที่เต็มไปด้วยเทคนิคชั้นสูง ขณะเดียวกันยังมีการออกแบบที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะคอลเลกชัน ‘Freak’

    การเปิดตัว Ulysse Nardin Freak ในปี 2001 ได้สร้างปรากฏการณ์ในอุตสาหกรรมนาฬิกา เพราะเป็นผลงานที่กล้าแหกกฎเกณฑ์ดั้งเดิมทั้งหมด ภายใต้แนวคิด ‘ไม่มีเข็มนาฬิกา หน้าปัด หรือเม็ดมะยม’ นอกจากนี้กลไกยังสร้างขึ้นโดย ไฮเทคซิลิคอนในทุกชิ้นส่วน ซึ่งเป็นวัสดุที่ช่วยแก้ไขปัญหาการเสียดสีของชิ้นส่วนประกอบ นับตั้งแต่ปี 2001 ผู้ผลิตได้ยื่นจดสิทธิบัตรมากกว่า 20 ฉบับ และเมื่อปีที่ผ่านมา ผลงาน Freak One ได้รับรางวัล Iconic Watch Prize ในงาน Grand Prix d'Horlogerie de Geneve


ULYSSE NARDIN เปิดตัว 'Freak S Nomad' 

    ในเดือน เม.ย. นี้ ULYSSE NARDIN ได้เปิดตัว Freak S Nomad โดยให้คำนิยามไว้ว่า: Ulysse Nardin จิตวิญญาณแห่งการสำรวจอันไร้ขอบเขต Freak S Nomad เป็นนาฬิกาข้อมือรุ่น Limited Edition ที่ผลิตจำกัดจำนวนเพียง 99 เรือนทั่วโลก มาพร้อมโทนสีทราย ตัวเครื่องหลักทำจากไทเทเนียม โดยจะบอกเวลาผ่านกลไก 'ยานอวกาศ' แบบหมุนภายใต้กระจกคริสตัลแซฟไฟร์ ซึ่งยังคงแนวคิด ‘ไม่มีเข็มนาฬิกา หน้าปัด หรือเม็ดมะยม’

    นอกจากนี้มาตรแสดงเวลาชั่วโมง และนาทีเคลือบด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนวา จึงเรืองแสงสีน้ำเงินในพื้นที่ที่มีแสงน้อย

    ตัวเรือนมีขนาด 45 มม. ตัวเรือนและตัวล็อคไทเทเนียมจึงมีน้ำหนักเบา รวมถึงขอบตัวเรือนไทเทเนียมเคลือบ PVD สีแอนทราไซต์ ด้านข้างตัวเรือนทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งเชื่อมแต่ละส่วนประกอบของตัวเรือนเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนสายนาฬิกามีให้เลือกสองแบบ คือ สายยางแอนทราไซต์พิมพ์ลาย 'ballistic' และอีกสายทำจากหนังจระเข้สีแอนทราไซต์ด้านในบุด้วยหนังลูกวัวสีทราย

เทคนิคทำด้วยมือของมนุษย์สู่การสร้างจักรกลขนาดเล็กที่ซับซ้อน

    Freak S Nomad ผสมผสานทั้งสถาปัตยกรรมและนวัตกรรมทำให้เกิดนาฬิกาที่มีเอกลัษณ์เฉพาะตัว โดยมีกลไก Calibre UN-251 Manufacturing ซึ่งสามารถหมุนรอบแกน ประกอบด้วยออสซิเลเตอร์สองตัวที่มีบาลานซ์วีลซิลิคอนเอียงทำมุม 20 องศา (จึงดูเหมือนแท่นปล่อยจรวด) และเอสเคปเมนต์เคลือบด้วย DIAMonSIL ซึ่งเป็นซิลิคอนเคลือบเพชรจากเทคโนโลยีขั้นสูงที่ให้ความแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ

    ทุกองค์ประกอบเชื่อมประสานกันด้วยดิฟเฟอเรนเชียลแนวตั้งเพื่อมอบความแม่นยำในการบอกค่าเวลาที่เหนือกว่าใคร ระบบขึ้นลานอัตโนมัติ Grinder® ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดย Ulysse Nardin สร้างพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบขึ้นลานทั่วไปถึงสองเท่า สามารถสำรองพลังงานได้นาน 72 ชั่วโมง โดยกลไกประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนทั้งหมด 373 ชิ้นและทับทิม 33 เม็ด


    สำหรับดิสก์ชั่วโมงที่หมุนอยู่ด้านหลังกลไกของนาฬิกา Freak S Nomad ซึ่งสื่อถึงเนินทรายที่มีสายลมพัดโชย ได้รับการขัดและแกะสลักลวดลายกิโยเช่ที่เป็นเทคนิคตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยช่างฝีมือผู้ชำนาญงานจะแกะสลักด้วยมือทีละชิ้นซึ่งใช้เวลากว่า 3 ชม. และเคลือบด้วย CVD สีทราย

    สาเหตุที่ต้องแกะสลักแผ่นดิสก์หมุนด้วยมือเพื่อสร้างงานฝีมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเมื่อไม่มีเครื่องจักรเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่เกิดการสั่นสะเทือน ทำให้ลายเส้นราบรื่นและแม่นยำที่สุด

    ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ Freak S Nomad เป็นนาฬิกาที่แสดงถึงความกล้าหาญที่จะแตกต่าง และโดยยังความโดดเด่นผ่านกลไกนาฬิกาที่ซับซ้อนซึ่งสร้างสรรค์มาจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการทำนาฬิกามากว่า 170 ปี ล่าสุด ULYSSE NARDIN ระบุว่าในประเทศไทยมีนาฬิกา Freak S Nomad เพียง 1 เรือนเท่านั้น



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ยลโฉม ‘Lamborghini Urus SE’ Plug-in Hybrid รุ่นแรก เครื่อง 800 CV วิ่งไกล 60 กม. ในโหมดไฟฟ้า

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine